กินอาหารตรงเวลาสำคัญต่อสุขภาพพอๆ กับสารอาหารครบถ้วน

กินอาหารตรงเวลาสำคัญต่อสุขภาพพอๆ กับสารอาหารครบถ้วน

พฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญ คนรักสุขภาพมักจะใส่ใจเรื่องอาหารที่ดีต่อร่างกาย สารอาหารครบถ้วน และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่มักลืมสังเกตไปว่าตนเองกินข้าวไม่ตรงเวลา การใช้ชีวิตตามใจกินอาหารตามความสะดวกหรือกินด้วยความรีบเร่งไม่เป็นผลดี สุขภาพที่ดีมาจากวินัยการกินซึ่งมีความสำคัญพอ ๆ กับสารอาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกาย เหตุใดการกินตรงเวลาจึงสำคัญ เรามีคำตอบให้ดังนี้

1.สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการมีระเบียบวินัย เลือกสารอาหารที่เหมาะสมมีครบทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผักผลไม้ กินให้ตรงเวลาและนอนหลับให้เพียงพอ จะละเลยอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ ปรับนิสัยให้เคยชินกับอาหารวันละสามมื้อหรือปรับให้เหมาะสม เช่น เมื่ออายุมากขึ้นกินแต่ละมื้อน้อยลงจะปรับเป็นมื้อย่อยวันละ 5-6 มื้อก็ได้ ที่สำคัญคือรักษาเวลาให้ดี ป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะหรือเป็นโรคกระเพาะ โดยปกติร่างกายคนเราใช้เวลาย่อยอาหารประมาณ 3-4 ชั่วโมง ระยะห่างระหว่างมื้อจึงไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมง ถ้าเว้นระยะนานหรือกินข้าวไม่ตรงเวลาจะเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น หลีกเลี่ยงโรคกระเพาะได้ด้วยการเสริมอาหารว่างอย่างน้อย 2 มื้อระหว่างมื้อเช้า กลางวัน และเย็น

2.มื้ออาหารเป็นตัวกำหนดการเผาผลาญของร่างกาย ตื่นนอนตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ระบบเผาผลาญทำงานมีประสิทธิภาพที่สุด กินอาหารเช้าจะย่อยเร็วและส่งผลกระทบต่อมื้ออื่นตลอดวัน ส่วนอาหารมื้อเย็นควรรับประทานก่อนเวลา 20.00 น. เพื่อให้อาหารย่อยง่ายและดีต่อการควบคุมน้ำหนัก ถ้ากินดึกเกินไปทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นเท่าตัว มื้อเย็นไม่ควรมีโปรตีนมากเพราะต้องใช้เวลาย่อยนานเกินไป การรับประทานอาหารตรงเวลายังเป็นผลดีต่อตับซึ่งเป็นอวัยวะทำหน้าที่ล้างพิษในร่างกาย ถ้ากินอาหารใกล้กับเวลานอน จะทำให้ขับสารพิษออกมาได้ยากขึ้น

3.ช่วงเวลาดีที่สุดสำหรับอาหารแต่ละมื้อ มีดังนี้

  • มื้อเช้า ควรรับประทานอาหารภายใน 2 ชั่วโมงหลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้เกิดเร็วขึ้น ยิ่งกินมื้อเช้าเร็วเท่าไร การเผาผลาญยิ่งมีประสิทธิภาพ ทำให้สุขภาพดีขึ้น
  • มื้อกลางวัน ระบบย่อยอาหารทำงานดีที่สุดระหว่างเวลา 12.00 น. ถึง 14.00 น. ทำให้ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้มากที่สุด มื้อนี้ควรจะเบากว่าอาหารเช้าและอาหารเย็น
  • มื้อเย็น เวลาที่เหมาะสมคือระหว่าง 17.00-18.00 น. หรือช้าที่สุดไม่เกิน 20.00 น. อาหารกลางวันและอาหารเย็นห่างกันไม่เกิน 4 ชั่วโมง อาจเลือกรับประทานของว่างหรือผลไม้เพื่อไม่ให้ท้องว่างนานเกินไป งดกินอาหารก่อนนอน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ย่อยอาหารได้หมดและนอนหลับสนิทตลอดคืน

ประโยชน์ของการกินตรงเวลาทุกวันจะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ผล ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี และสุขภาพโดยรวมดีขึ้น ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับโรคได้ ความเหมาะสมของแต่ละคนแตกต่างกัน ควรปรับสมดุลและจัดตารางมื้ออาหารให้เหมาะกับตัวคุณที่สุด

4 เคล็ดลับ เปลี่ยนคุณเป็นสาวสุขภาพดี

4 เคล็ดลับ เปลี่ยนคุณเป็นสาวสุขภาพดี

เชื่อได้ว่า หลายคนคงเคยได้ยินกับประโยคที่ว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง” ซึ่งผลพลอยได้จากการมีสุขภาพดีนั้น นอกจากจะมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังส่งผลไปถึงสุขภาพจิตที่จะสดชื่น เบิกบาน อารมณ์ดีอีกด้วย ดังนั้น วันนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สาว ๆ ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสาวผิวสวยสุขภาพดี เราจึงมี 4 เคล็ดลับมาแนะนำกัน…

1.เน้นทานอาหารที่มีประโยชน์
“You are what you eat” เป็นประโยคสุด Classic ที่ใช้ได้มาอย่างยาวนาน เพราะสิ่งที่คุณรับประทานเข้าไปนั้น ย่อมส่งผลกับสุขภาพของคุณโดยตรง เช่น ถ้าคุณทานผลไม้ที่มีน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะส่งผลให้คุณมีน้ำตาลในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ แม้จะเป็นผลไม้ก็ตาม เป็นต้น เพราะฉะนั้น นอกจากคุณควรจะต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นทานโปรตีนและลดอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูงแล้ว คุณควรจะทานอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไปนั่นเอง

2.หาเวลาออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย เป็นเรื่องสำคัญหากคุณต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายและระบบอื่น ๆ ทำงานได้ดี ส่งผลให้คุณรู้สึกสดชื่นแจ่มใส มีพลังกาย พลังใจที่ดีขึ้น โดยขอแนะนำให้คุณหาเวลาในการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 5 วัน และอีกหนึ่งเคล็ดลับที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายก็คือ พยายามหาประเภทการออกกำลังกายที่คุณชื่นชอบให้เจอ เพื่อทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุกสนาน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่คุณรอคอยและอยากที่จะทำ

3.เพิ่มพลัง (คิด) บวก
การคิดบวก จะช่วยคุณในเรื่องของการขจัดความเครียดซึ่งเจ้าความเครียดนี้มีผลต่อการทำให้สุขภาพคุณแย่ลงได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คร่ำเครียดอยู่กับงาน หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อยากให้คุณหาวิธีการผ่อนคลายและเพิ่มพลังชีวิต คิดบวกให้กับตัวคุณเองด้วย

4.พักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง
การพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 – 8 ชั่วโมง เป็นเรื่องที่คุณไม่ควรละเลยหากว่าอยากจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี สดชื่นแจ่มใส เพราะการนอนพักผ่อนจะช่วยให้คุณผ่อนคลายและร่างกายจะหลั่งสารต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ยิ่งหากอู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ด้วยแล้ว การพักผ่อนให้เต็มที่จะทำให้ร่างกายเติบโตได้ตามที่ควรจะเป็นอีกด้วย

สำหรับ 4 เคล็ดลับที่นำมาฝากกันในวันนี้ หากคุณามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็จะทำให้คุณมีความสุขกาย สุขใจ ที่มาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงได้อย่างแน่นอน

แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพของคนทำงานฟรีแลนซ์

แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพของคนทำงานฟรีแลนซ์

สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน อาชีพที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นอาชีพฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินและเสียเวลาเดินทางไปทำงาน สามารถรับงานและทำงานเองได้ในพื้นที่ของตัวเอง หลายปีมานี้อาชีพฟรีแลนซ์จึงเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมจากหนุ่มสาวรุ่นใหม่เพราะเต็มไปด้วยความอิสระ ที่สามารถตัดสินใจรับงานและทำงานในเวลาและสถานที่ไหนก็ได้ แต่ด้วยความอิสระดังกล่าวก็ต้องแลกมากับสุขภาพที่ร่วงโรย เพราะเมื่อชาวอาชีพเลือกรับงานมาแล้วก็มักจะมีนิสัยที่คล้ายคลึงกันคือหักโหมกับงานอย่างมาก ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์นั่งอยู่ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ซี่งอาจส่งผลให้คนที่ทำอาชีพนี้มักมีปัญหาของโรค RSI (Repetitive Strain Injury) อันเป็นโรคที่เกิดจากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้รับบาดเจ็บสะสมกันเป็นระยะเวลานานจากการทำงาน ที่อาจเริ่มจากอาการบาดเจ็บปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อยในระยะแรก จนพัฒนากลายเป็นอาการปวดขั้นรุนแรงจนไม่สามารถใช้งานอวัยวะบางส่วนได้สะดวก มีอาการปวดอักเสบต้องหายาแก้ปวดมารับประทาน บางรายอาจต้องไปไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอาการปวดดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นฝันร้ายของอาชีพฟรีแลนซ์อย่างมาก

เหตุนี้ เราจึงมาแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงที่จะนำไปสู่ฝันร้ายดังกล่าวของชาวฟรีแลนซ์ อันดับแรกเราควรเริ่มที่กิจวัตรในการทำงานอย่างวิธีการนั่งทำงานให้ถูกวิธี คือ

  1. นั่งตัวตรงให้หลังแนบไปกับพนักพิงของเก้าอี้
  2. วางข้อศอกและแขนไว้ที่พักแขน
  3. นั่งให้ก้นชิดกับเก้าอี้
  4. ในระหว่างทำงานให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับจอคอมพิวเตอร์
  5. ควรวางเท้าให้ราบกับพื้น

ซึ่งทั้ง 5 วิธีการนี้ถือเป็นวิธีการพื้นฐานที่ชาวฟรีแลนซ์ควรนำไปใช้อย่างยิ่ง

ต่อไปสิ่งที่เราจะแนะนำให้ทำคือการจัดสรรเวลาการทำงานให้เหมาะสม เช่น ไม่ควรรับประทานอาหารบนโต๊ะทำงาน และระหว่างทำงาน ชาวฟรีแลนซ์คงเคยชินกับการทำงานที่บางครั้งมีความเร่งรีบเพื่อที่จะต้องทำงานให้ทันกำหนดส่งลูกค้า และเพื่อให้ประหยัดเวลาในบางครั้งจึงต้องรับประทานอาหารบนโต๊ะทำงานไปด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้บ่อยครั้งเข้ามันไม่ส่งผลดีต่อการทำงานเลย เพราะมีการศึกษาได้พบว่า การที่เรารับประทานอาหารไปด้วยและทำงานไปด้วยนั้นอาจทำให้เรากินอาหารมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เพราะใจยังคงจดจ่ออยู่กับการทำงานเพื่อให้ทันเวลา ทำให้สมองรู้สึกถึงความอิ่มที่ช้าลง จนในสุดท้ายการทำเช่นนี้เป็นประจำก็ทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ทางที่ดีเพื่อลดผลกระทบที่ตามมา ชาวฟรีแลนซ์ทุกคนควร จัดสรรเวลาให้อย่างเหมาะสม เมื่อถึงเวลาต้องรับประทานอาหาร ก็ควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา และควรรับประทานอาหารในที่เฉพาะ เช่น บนโต๊ะอาหาร เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสภาวะการทำงานที่ไม่สมดุลกับเวลา นอกจากนั้นการจัดสรรเวลา ควรจัดให้มีการพักเป็นระยะ ยกตัวอย่าง ควรแบ่งเวลาพักเป็น 1- 2 ชั่วโมงต่อครั้ง ให้ลุกออกจากเก้าอี้ทำงานหลีกหนีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ออกไปสูดอากาศนอกห้อง พักสายตาด้วยการมองสิ่งของที่มีสีเขียวอย่างต้นไม้ เพื่อให้เป็นการพักอวัยวะยืดเส้นยืดสาย และทำให้สายตาได้พักผ่อนพร้อมที่จะกลับไปทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง

สุดท้าย สิ่งที่ชาวฟรีแลนซ์ไม่ควรละเลยเพื่อจะให้ยังคงมีสุขภาพที่ดีและพร้อมที่จะไปสู้กับงาน ก็คือ การออกกำลังกาย ชาวฟรีแลนซ์นั้นมักจะทราบกันดีว่าอาชีพแบบนี้นั้น เวลาทุกวินาทีนั้นมีค่า แต่อย่างไรก็ตามหากเทียบกันแล้วระหว่างเม็ดเงินที่ได้มากับสุขภาพที่เสียไปนั้น เราควรรักษาสุขภาพที่ดีไว้ดีกว่า เพื่อที่จะไม่ต้องนำเงินที่หามาได้มารักษาตัวเองจากอาการเจ็บป่วย เพราะฉะนั้น ชาวฟรีแลนซ์ควรระลึกอยู่เสมอว่า ควรหาเวลาเพื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยแบ่งเวลาภายในหนึ่งสัปดาห์ ให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วัน ครั้งละประมาณ 30 นาที เพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงานของเราชาวฟรีแลนซ์ในระยะยาวต่อไป

นมผึ้ง ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเทรนด์ใหม่ คุณประโยชน์เต็ม ๆ

นมผึ้ง ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเทรนด์ใหม่ คุณประโยชน์เต็ม ๆ

“นมผึ้ง (Royal Jelly)” เกิดจากกระบวนการผลิตสารอาหารจากน้ำลายของผึ้งงานเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนและนางพญาผึ้ง โดยลักษณะเด่นของนมผึ้งจะมีสีขาวขุ่น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เช่น ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดอาการวัยทองในสตรีและช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน, ช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดีพร้อมสารต่อต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร, ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย เป็นต้น จึงทำให้นมผึ้งถูกนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงามมากมาย ซึ่งผลิตภัณฑ์นมผึ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีดังนี้

Nature’s King Royal Jelly ผลิตภัณฑ์นมผึ้งชนิดแคปซูลจากประเทศออสเตรเลียแท้ 100% อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E, B1, B2, B3, B6, B9, โปรตีน, เหล็ก, กรดแอสปาร์ติกและกรดโฟลิก สามารถรับประทานได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน วันละ 1 – 2 เม็ด มีให้เลือก 4 ขนาด 3 แบบ คือ Nature’s King Royal Jelly + Vit C เม็ดฟู่ ปริมาณบรรจุ 20 เม็ด ราคา 690 บาท, Nature’s King Royal Jelly Premium ปริมาณบรรจุ 180 เม็ด ราคา 1,490 บาท, Nature’s King Royal Jelly Original 1,000 มิลลิกรัม ปริมาณบรรจุ 120 เม็ด ราคา 590 บาท และ Nature’s King Royal Jelly Original ปริมาณบรรจุ 365 เม็ด ราคา 1,690 บาท

Wealthy Health Royal Jelly 1000mg 6% นมผึ้งจากออสเตรเลียชนิดแคปซูล อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม, คาร์โบไฮเดรท โปรตีน, กรดไขมัน, วิตามิน A D E, แร่ธาตุต่าง ๆ , กรดอะมิโนและเจลาติน ปริมาณบรรจุ 365 เม็ด ราคา 2,415 บาท ด้วยปริมาณนมผึ้งเข้มข้นถึง 6% หรือ 1,000 มิลลิกรัม จึงไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1 เม็ด หลังอาหาร

Real Elixir นมผึ้งออร์แกนิกจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับฮอร์โมนทั้งชาย/หญิง คืนความอ่อนเยาว์วัยด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เต็มเปี่ยม รับประทานง่ายเพียงวันละ 1 – 2 เม็ด ปริมาณบรรจุขวดละ 30 แคปซูล ราคา 690 บาท

Royal Bee นมผึ้งแท้ 100% ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากนมผึ้งทั่วไป เพราะไม่ผ่านความร้อนจึงสามารถคงคุณประโยชน์เอาไว้ได้อย่างดีและยังมีปริมาณของนมผึ้งอัดแน่นถึง 1,500 มิลลิกรัม ช่วยปรับสมดุลของระบบการทำงานและฮอร์โมน รวมถึงช่วยเพิ่มเกราะป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรียตัวการที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความแก่ พร้อมซ่อมแซมเซลล์ผิวทำให้ผิวและร่างกายแข็งแรงขึ้น ปริมาณบรรจุขวดละ 30 เม็ด ราคา 1,490 บาท

(ราคาทั้งหมด อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจุบัน ขอให้ตรวจสอบราคาจำหน่ายอีกครั้ง)

ทั้งนี้ แม้ว่านมผึ้งจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่กำหนดไว้บนฉลากและรับประทานควบคู่ไปกับอาหาร 5 หมู่ เพื่อสุขภาพผิวและร่างกายที่ดียิ่งขึ้น

โรคในดวงตาที่ต้องระวัง เพื่อสุขภาพการมองเห็นที่ดี

โรคในดวงตาที่ต้องระวัง เพื่อสุขภาพการมองเห็นที่ดี

ดวงตาของคนเราเป็นอวัยวะสำคัญในการรับภาพ ถ้ามีความผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นต้องรีบทำการตรวจรักษา เพื่อแก้ไขอย่างทันท่วงที เราจึงได้รวบรวมโรคที่มักพบบ่อยในดวงตามาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น ดังนี้

1.โรคต้อหิน
ต้อหินมักเกิดกับคนที่อายุมาก เนื่องจากความดันภายในลูกตาสูงขึ้น จะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้อย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่อาการของโรคต้อหินจะลุกลามจนทำลายเส้นประสาทตา แล้วทำให้มองไม่เห็นในที่สุด

2.โรคตาต้อกระจก
ต้อกระจกเกิดจากเลนส์ของตามีความขุ่นมากขึ้น จนปิดบังวิสัยทัศน์ในการมองเห็น ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ หยิบจับของใช้ หรือการขับรถ ย่อมทำได้ไม่สะดวกอย่างเคย ต้าต้อกระจกเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ใหญ่วัยเกษียณ แต่บางกรณีก็พบได้ในคนอายุน้อยที่มีปัญหาการใช้ยาบางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ หากพบว่า ตนเองมองภาพได้ไม่คมชัด มีลักษณะเป็นเหมือนหมอกกระจายอยู่ทั่วไป เห็นภาพซ้อน ฯลฯ ต้องรีบให้จักษุแพทย์ตรวจโดยเร็ว

3.โรคต้อเนื้อและต้อลม
อาการต้อเนื้อและต้อลม โดยทั่วไปจะเป็นอย่างช้า ๆ และไม่รุนแรงขนาดทำให้มองไม่เห็นภาพ แต่จะส่งผลให้สายตาเอียง หรือการมองเห็นภาพคมชัดน้อยลง สาเหตุที่พบส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการถูกทำลายของเยื่อบุตาจากรังสียูวีในแสงแดด จึงเป็นโรคที่พบบ่อยในคนที่อยู่ในภูมิภาคเขตร้อนมากกว่าทางยุโรป และคนที่ต้องทำงานเผชิญกับฝุ่น ลม ควัน ไอแดด เป็นประจำ

4.โรควุ้นตาเสื่อม
วุ้นตาอยู่ภายในลูกนัยน์ตาติดกับจอประสาทตา หากมีความเสื่อมจะทำให้เกิดการจับตัวกลายเป็นก้อนลอยไปมา มีลักษณะคล้ายหยากไย่ให้รู้สึกรำคาญบ่อย ๆ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นแสงวูบวาบแบบฟ้าผ่าหรือฟ้าแลบได้ มักพบกับคนที่มีปัญหาสายตาสั้นหรืออายุ 50 ปีขึ้นไป หากเริ่มมีอาการควรรีบให้แพทย์ตรวจเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

5.โรคเบาหวานขึ้นตา
โรคเบาหวานนอกจากเกี่ยวข้องกับการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนแล้ว ยังเกิดการส่งผลร้ายไปที่ดวงตาได้ เพราะเบาหวานจะทำให้หลอดเลือดและเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงดวงตามีประสิทธิภาพน้อยลง จึงมีปัญหาตามัวและสูญเสียการมองเห็นได้ในเวลาไม่นาน หากมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ควรหมั่นตรวจสุขภาพดวงตาและควบคุมน้ำตาลในเลือด เพื่อไม่ให้เป็นรุนแรงถึงระดับเบาหวานขึ้นตา

โรคดวงตาที่กล่าวมานั้น เป็นโรคใกล้ตัวและมีความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป หากเป็นน้อยอาจส่งผลต่อวิสัยทัศน์การมองเห็น หากรุนแรงมากจะทำให้สูญเสียการมองเห็นภาพแบบถาวร ดังนั้น ทุกคนจึงควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคัดกรองโรค หากพบความผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

Work from Home ก็สุขภาพดี มีหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มได้!

Work from Home ก็สุขภาพดี มีหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มได้!

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้รักสุขภาพที่เคยออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายในฟิตเนส หรือคลาสออกกำลังกาย ต่างได้รับผลกระทบในการดูแลสุขภาพไปเต็ม ๆ ทำให้หลายคนพยายามหาวิธีใหม่ที่ช่วยในการดูแลสุขภาพได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งวิธีที่ช่วยดูแลสุขภาพ ร่างกายให้แข็งแรงแม้ Work from Home มีหลายวิธี ดังนี้

1.ออกกำลังกายตาม Application ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพและสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายหลากหลายสไตล์ ซึ่งเราสามารถโหลดมาใช้งานและออกกำลังกายตามคำแนะนำได้ โดยผลลัพธ์ของการออกกำลังกายตามแอปพลิเคชันสามารถสร้างกล้ามเนื้อและควบคุมน้ำหนักได้ไม่ต่างจากการออกกำลังกายในฟิตเนส แต่มีความสะดวกสบายกว่า ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับวินัยในการออกกำลังกายของแต่ละบุคคลด้วย

2.ออกกำลังกายตาม Youtube เหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นคลาส เช่น ซุมบ้า, แอโรบิก, Boxing ฯลฯ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงได้แบบไม่มีเบื่อ โดยผู้ออกกำลังกายสามารถเลือกเรียนได้ตามความชอบของตัวเองได้แบบฟรี ๆ นอกจากนี้สำหรับผู้เริ่มต้นดูแลสุขภาพมือใหม่ที่ไม่มีอุปกรณ์ในการออกกำลังกายก็สามารถหาช่องที่แนะนำวิธีที่่เหมาะสมกับตัวเองได้ ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งช่องของคนไทยและต่างชาติให้เลือกมากมาย

3.ออกกำลังกายกับ Online Personal Trainer สำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจว่าท่าออกกำลังกายที่ทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ การลงเรียนกับ Online Personal Trainer เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดแบบปราศจากเชื้อโควิด-19 โดยลักษณะแผนการออกกำลังกายแบบนี้ เทรนเนอร์จะกำหนดทั้งลักษณะอาหารที่กินและออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพให้ ซึ่งผู้ที่ลงคอร์สจะต้องออกกำลังกายตามเวลาที่นัดเอาไว้ โดยเทรนเนอร์จะดูการออกกำลังกายผ่านโปรแกรม Zoom หรือ Skype และให้ถ่ายรูปอาหารที่รับประทานในแต่ละวันส่งไปให้ดูผ่านโปรแกรมแชตต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบโภชนาการที่เหมาะสม

4.ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายเป็นของตัวเอง สำหรับผู้รักสุขภาพที่มีทุนมากพอ การซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายเป็นของตัวเองเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดและไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 ด้วย

การออกกำลังกายในช่วง Lockdown ที่หลายคนต้อง Work from Home ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการกักตัวได้ดี รวมถึงช่วยให้มีสุขภาพดี หุ่นสวยฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เสมอ

ระวัง 3 โรคร้ายแรงกระทบสุขภาพเด็ก ที่พ่อแม่มักคาดไม่ถึง

ระวัง 3 โรคร้ายแรงกระทบสุขภาพเด็ก ที่พ่อแม่มักคาดไม่ถึง

เด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี ถือเป็นวัยที่มักเกิดการเจ็บป่วยมีปัญหาสุขภาพได้ง่าย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในตัวเด็กยังอ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบตัวเด็กได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงวัยที่ต้องไปโรงเรียนหรือทำกิจกรรมนอกบ้านต่าง ๆ ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่เด็กจะได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่ายกายจนเกิดความเจ็บป่วยตามมา แม้ว่าในปัจจุบัน วิทยาการด้านการแพทย์จะก้าวหน้าไปไกล แต่ก็มีโรคติดต่อใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นหลายโรค รวมถึงโรคเก่า ๆ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 3 โรคร้ายแรงในเด็กที่พ่อแม่มักคาดไม่ถึงแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและอาจถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

1.โรคคาวาซากิ
โรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease) เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการอักเสบของผิวหนัง หลอดเลือด และต่อมน้ำเหลือง พบมากในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็กแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่สำคัญคือ การแพทย์ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคชนิดนี้ มีเพียงแค่การสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้นกันของเด็ก ซึ่งตอบสนองต่อเชื้อโรคบางชนิด โดยอาการของโรคชนิดนี้จะเริ่มตั้งแต่มีไข้สูง ปากแดง ตาแดง มือบวมเท้าบวม มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ฯลฯ หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตสุขภาพและอาการของลูก ๆ อยู่เสมอ เพราะหลายกรณีกว่าที่พ่อแม่จะรู้ว่าลูกมีอาการผิดปกติ เด็กก็เข้าขั้นโคม่าแล้ว

2.ไข้รูมาติก
ไข้รูมาติก (Acute Rheumatic Fever) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส กรุ๊ปเอ ซึ่งพบมากในเด็กอายุ 5-15 ปี อาการของโรคเริ่มตั้งแต่อาการเจ็บคอ ปวดตามข้อ หอบเหนื่อย ฯลฯ ก่อนจะเกิดความผิดปกติที่เห็นได้ชัด ได้แก่ ผื่นตามผิวหนัง ข้อบวม กล้ามเนื้อกระตุก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อแบคทีเรียก็จะตรงเข้าไปทำลายเนื้อเยื้อหัวใจ ทำให้เกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจตามมา เช่น หัวใจวาย ลิ้นหัวใจรั่ว เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ฯลฯ ดังนั้น พ่อแม่ทุกควรระวังเรื่องความสะอาดของเด็กอย่างสม่ำเสมอ เพราะ แบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส มักพบบ่อยในสถานที่แออัดที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น เช่น ชุมชนแออัด และโรงเรียน เป็นต้น

3.น้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมอง
ปกติแล้ว น้ำไขสันหลัง จะคอยทำหน้าที่เหมือนน้ำหล่อเลี้ยงสมองและรักษาอุณภูมิของสมองให้อยู่ในระดับเหมาะสม อย่างไรก็ดี การมีน้ำไขสันหลังในปริมาณมากเกินไปจะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมหรือระบายน้ำออกไปได้ทัน ทำให้น้ำไขสันหลังท่วมเยื่อหุ้มสมองและผิวสมอง ซึ่งความผิดปกตินี้เรียกว่า “น้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมอง” พบบ่อยในเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่กะโหลกศีรษะบริเวณกระหม่อมยังไม่ปิดสนิทดี ซึ่งบ่อยครั้งทำให้เด็กมีอาการหัวโตผิดรูป ตามด้วยอาการคล้ายโรคพาร์กินสัน แขนขาเกร็ง หรือเกิดอาการชัก ความจำเสื่อม ปวดหัวรุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ พ่อแม่จึงควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูกอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางครั้งโรคนี้ก็ไม่แสดงอาการผิดปกติภายนอก และเด็กเล็กก็ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติของร่างกายตัวเองให้รู้ได้นั่นเอง

ดังนี้แล้ว ผู้ที่เป็นพ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตและซักถามลูกอยู่เสมอ หากสงสัยว่ามีอาการที่ไม่น่าไว้วางใจ ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

ดูแลร่างกายอย่างไรให้สุขภาพดีตลอดปี

ดูแลร่างกายอย่างไรให้สุขภาพดีตลอดปี

สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ซึ่งมาจากการใส่ใจสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของการเลือกกินอาหาร การออกกำลังกาย รวมถึงการทำงานอย่างเหมาะสมด้วย

เรามาดูกันว่า ถ้าคุณต้องการสุขภาพดี จะต้องดูแลตัวเองอย่างไรกันบ้าง

1.รับประทานอาหารที่ดี
การรับประทานอาหารนอกจากต้องอิงตามหลัก 5 หมู่ให้ครบทั้งแป้ง โปรตีน ไขมัน ผัก ผลไม้ เพื่อให้ได้วิตามินเกลือแร่ครบถ้วนแล้ว ยังจำเป็นต้องดูแหล่งที่มาและกรรมวิธีทำอาหารด้วย ควรเลือกแบบปลอดสารพิษหรือ organic โดยเฉพาะผักผลไม้ที่อาจมีราคาแพงขึ้น จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่ามาจากแหล่งเพาะปลูกที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องล้างทำความสะอาดแช่น้ำส้มสายชูหรือน้ำด่างทับทิมก่อนนำมาปรุงอาหารเพื่อลดความเสี่ยงต่อการได้รับยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนด้วย

ในด้านของโปรตีน ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์หมุนเวียนให้หลากหลาย เช่น เนื้อปลา ไก่ วัว และเนื้อหมู ลดการรับประทานหนังและเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

2.การออกกำลังกาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพให้คำแนะนำว่า เราควรออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 15 นาที หรือวันเว้นวัน วันละ 30 นาที เพื่อกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ปรับสมดุลของระบบหัวใจหลอดเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ฯลฯ หากออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มที่จะลดปริมาณการใช้ยาลงได้

การออกกำลังกายในปัจจุบันที่นิยม ได้แก่ การวิ่งบนลู่ กระโดดเชือก การว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ซึ่งสามารถทำควบคู่กับการเปิดคลิป YouTube ที่คุณชอบไปพร้อมกันด้วย

3.การทำงานที่เหมาะสม
การทำงานที่ดีต่อสุขภาพต้องไม่นั่งทำงานต่อเนื่องนานเกิน ควรมีช่วงระยะพัก เช่น ทุก 1 ชั่วโมงไปยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ รับประทานอาหารว่าง ฯลฯ จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมที่ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้ออักเสบ รวมถึงสร้างปัญหาปวดหลัง ไหล่ นิ้วอย่างเรื้อรัง ทั้งนี้ ต้องควบคุมเวลาการทำงานไม่เกินวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคเครียดและโรคซึมเศร้าในระยะยาวด้วย

นอกจากนี้ ผู้ที่ทำงานยกของหนักก็ควรใช้เครื่องพยุงหรือเสื้อสวมกระจายแรงที่หลังและเอว ส่วนกรณีที่ต้องทำงานร่วมกับบุคคลต่าง ๆ ในที่สาธารณะ ในระยะนี้ ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเองจากไวรัส covid-19 ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือน้ำสบู่บ่อย ๆ ด้วย

จะเห็นได้ว่า การดูแลสุขภาพให้ดีตลอดทั้งปี มาจากการใส่ใจตัวเองอย่างรอบด้านในทุกวัน หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเอง เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เป็นสุข

3 สาเหตุสุขภาพตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

3 สาเหตุสุขภาพตาเสื่อมก่อนวัยอันควร

Age- related macular degeneration (AMD) คือ ปัญหาสุขภาพสายตาหรือจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควรซึ่งเป็นโรคอันตราย โดยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์แขนงใหม่ได้กล่าวไว้ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่ซ่อมได้ยากเสมือนหลอดไฟที่วันหนึ่งดับไปก็ไม่มีอะไหล่ ทำให้ดวงตาเป็นสิ่งที่มีค่าถือว่าเป็นหน้าต่างชีวิต ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกสาเหตุสุขภาพตาที่เสื่อมก่อนวัยอันควรเพื่อคุณจะได้ถนอมดวงตามากขึ้น ดังต่อไปนี้

สาเหตุที่ 1 พันธุกรรม
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์หาเหตุผลเกี่ยวกับตาเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ใกล้เคียงที่สุดแบบไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ คือ เกิดจากพันธุกรรมติดมา ซึ่งสาเหตุนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างมากคือป้องกันด้วยการสวมแว่นตาที่ตัดแสง Blue light หรือตัดแสงสีน้ำเงินพร้อมยูวี เพราะสามารถช่วยป้องกันตาเสื่อมได้ในระดับหนึ่ง

สาเหตุที่ 2 การใช้สายตามากเกินไป
ยุคก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์ คนที่ทำงานเกี่ยวกับเอกสารจะใช้เครื่องพิมพ์ดีดซึ่งมีความแตกต่างกับยุคนี้ที่เป็นยุคไซเบอร์เพราะได้ใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเพื่อดู Facebook, Instagram, Line และอื่น ๆ ทำให้ผู้คนได้ใช้สายตามากขึ้น ยิ่งถ้าดูในที่มืดจะทำให้แสงเข้าตาปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน เช่น อ่านข่าวสารจากสมาร์ทโฟนก่อนนอนในที่มืด หรืออาจจะเล่นในผ้าห่มก็จะทำให้รูม่านตาที่เรียกว่า Pupil กว้างขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการใช้สมาร์ทโฟนก่อนนอน ควรใช้ตามที่จำเป็นเท่านั้น และให้เปิดไฟจนกว่าจะใช้งานเสร็จ เพื่อป้องกันอันตรายและถนอมดวงตา

นอกจากการใช้สายตามากเกินไปจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแล้ว ก็ยังมีแสงแดดที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการใช้สายตามากเกินไปเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันโลกร้อน จึงมีแสงยูวีมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ตัวเลขจำนวนคนที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมมีอัตราเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สาเหตุที่ 3 ขาดวิตามินบำรุง
การขาดวิตามินบำรุงโอกาสเป็นโรค AMD มากกว่าปกติ บางทีอายุแค่ 40 ปี ก็เป็นโรคนี้แล้ว แตกต่างในอดีตมักจะเป็นช่วงอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่การขาดวิตามินจะเป็นวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน แอลฟาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทีน จากผักและผลไม้ เช่น ฟักทอง แครอท ผักใบเขียว ปวยเล้ง ผักโขม เป็นต้น นอกจากนี้ยังขาดวิตามินตัวใหม่ ที่เรียกว่า แอสต้าแซนธิน ซึ่งวิตามินชนิดนี้จะอยู่ในสาหร่าย

สมัยก่อนตามตัวเลขในโรงพยาบาลจะเป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตาติดเชื้อ ส่วนในปัจจุบันจะเป็นโรค AMD หรือจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น และถ้าเสื่อมจนถึงขั้นตาบอดก่อนวัยอันควร แพทย์จะรักษาตอนที่ตาบอดไม่ได้แล้ว ซึ่งรุนแรงกว่าการเป็นต้อกระจกหรือต้อหิน ดังนั้น ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์ทุกคน ควรใช้อย่างถนอมตั้งแต่วันนี้จะดีที่สุด

ประคบร้อน ประคบเย็น ต่างกันตรงไหน ควรเลือกใช้ให้ถูกวิธี

ลูกประคบสมุนไพร

ลูกประคบสมุนไพร อาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่เด็กยุคใหม่ แต่สำหรับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่และปู่ย่า ตายาย ล้วนแต่รู้จักและใช้รักษาอาการต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันการแพทย์ทางเลือกหรือแพทย์แผนไทย นิยมใช้บำบัดรักษา เนื่องจากมีผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ มากขึ้น แม้ในแวดวงกีฬาและสันทนาการ เพื่อเป็นความรู้ให้กับคนทั่วไปได้เลือกใช้ลูกประคบให้เหมาะสมกับอาการเจ็บบาดเจ็บ เมื่อเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินกะทันหัน เช่น หกล้ม สะดุด ตกบันได หรือเกิดอุบัติเหตุอื่น ๆ อย่างน้อยก็จะช่วยบรรเทาอาการก่อนจะไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไปได้

  • การประคบร้อน ใช้เพื่อช่วยลดอาการปวดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ อาการปวดเมื่อย และตึงกล้ามเนื้อบริเวณ บ่า หลัง ไหล่ ต้นคอ น่อง ต้นขา และอาการปวดประจำเดือน โดยเริ่มประคบหลังจากมีอาการแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง โดยใช้ผ้าขนหนู กระเป๋าน้ำร้อน หรือลูกประคบ ที่ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ประคบบริเวณที่ปวดตึงครั้งละ 20-30 นาทีประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ไม่ควรประคบในบริเวณที่มีบาดแผลหรือมีเลือดออก หรือประคบนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น ประโยชน์ของลูกประคบสมุนไพร ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยลดอาการบวมอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและข้อต่อ และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดียิ่งขึ้นด้วย
  • การประคบเย็น สามารถทำได้ทันทีเมื่อมีอาการปวดหรือได้รับบาดเจ็บเช่น ปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดฟัน ข้อเท้าบวม เคล็ด เลือดกำเดาไหล หรือ มีอาการปวดบวมตามร่างกายในบริเวณอื่น ๆ โดยใช้น้ำแข็งหรือเจลทำความเย็นประคบตรงจุดที่มีอาการ วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณครั้งละ 20 นาที

สำหรับการเลือกใช้การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็นนั้นมีหลักพิจารณาเบื้องดังนี้

  1. หากผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันร่วมกับอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด ควรเลือกใช้การประคบเย็น เพราะความเย็นช่วยลดอาการบวม อักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยภายในกล้ามเนื้อฉีกขาดลง
  2. มีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือเรื้อรัง อาจมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อร่วมด้วย แนะนำให้ใช้การประคบร้อนเพื่อช่วยลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อ
  3. สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังเรื่องการประคบเย็น เพราะความเย็นจะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นได้ หรือเป็นโรคแพ้ความเย็นอย่างรุนแรง บางรายอาจแสดงอาการโดยมีผื่นแดงเกิดขึ้น เป็นต้น
  4. กรณีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีอาการปวดบวมอักเสบ เอ็น ข้อ กล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้การประคบด้วยอุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

หากจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือบำบัดรักษาอาการปวดบวมเบื้องต้น ควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือสอบถามผู้รู้ก่อนตัดสินใจ ทางที่ดีรีบไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที