Tips Healty

ทริคดื่มกาแฟลดน้ำหนัก อย่างไรไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและได้หุ่นปัง

ทริคดื่มกาแฟลดน้ำหนัก อย่างไรไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและได้หุ่นปัง

เทรนด์ความงามเป็นเรื่องที่ผู้หญิงและผู้ชายทุกคนติดตามกันอยู่แล้ว เพราะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีสร้างความมั่นใจได้อีกด้วย เช่นเดียวกับเทรนด์การดื่มกาแฟลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพก็เป็นอีกเรื่องที่ได้รับความนิยม คำถามคือจะเลิกดื่มอย่างไรให้ปลอดภัยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ นี้จะชวนมาเปิดที่กั้นดื่มกาแฟลดน้ำหนัก ทำตามกันง่าย ๆ และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ใคร ๆ ก็ทำ โดยเฉพาะสาย healthyและเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟโดยพื้นฐาน

เริ่มจากการจิบน้อยๆ การดื่มกาแฟที่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้คือไม่ควรตะบี้ตะบันดื่ม บางคนติดกาแฟกินทุกวันและกินบ่อย บางครั้งลืมไปว่าในกาแฟก็มีน้ำตาลเหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ดื่มกาแฟดำ ขอแนะนำให้คุณจิบกาแฟแต่จิบตลอดทั้งวันได้และเลือกรสชาติที่ชอบ

ดื่มกาแฟดำดีที่สุด เพราะกาแฟสดที่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมเป็นส่วนผสมที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะคนที่ชอบดื่มกาแฟหวานจัด อนาคตมีความเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ เพราะน้ำตาลก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้ แนะนำสำหรับใครที่คิดว่าดื่มไม่อร่อยเพราะขมจนเกินไปลองเริ่มจากการดื่มรสชาติบางเบาใส่กาแฟสักครึ่งช้อนก่อนก็ได้ เพราะการดื่มกาแฟดำดีกว่ากาแฟที่ผสมน้ำตาลและครีมเทียมอยู่แล้ว นั่งจิบยามเช้าชิลๆไปพร้อมดูผลบอลว่าทีมที่ชื่นชอบชนะหรือไม่ สุขไป 2 ต่อ

เลือกดื่มกาแฟในเวลาที่เหมาะสม เพราะในกาแฟนั้นอย่างที่ทราบกันว่ามีคาเฟอีนที่ทำให้เราตื่นตัวจะออกฤทธิ์นานถึง 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นภายใน 48 ชั่วโมงร่างกายจะขับออกทั้งหมด ดังนั้นเวลา 15.00 น.และช่วงค่ำไม่ควรดื่ม

ก่อนออกกำลังกายจิบกาแฟสักหน่อย เพราะกาแฟเองช่วยให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมกับช่วยเร่งการเผาผลาญได้ในเวลาเดียวกัน ใครที่เคยรู้สึกว่าในช่วงออกกำลังกายล้าหรือไม่มีแรงเราจิบกาแฟสักนิดแล้วไปฟิตร่างกายด้วยการจ๊อกกิ้งเบา ๆ หรือเข้าฟิตเนส สิ่งสำคัญคือไม่ควรหักโหม เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและหุ่นฟิตเฟิร์มขึ้น

ดื่มกาแฟแล้วอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพราะในกาแฟมีคาเฟอีนที่มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะหากร่างกายดื่มมากจนเกินไปและไม่ดื่มน้ำเปล่าเลยจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะการขาดน้ำ ที่สำคัญการดื่มน้ำเปล่าตามมีส่วนช่วยกันเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ด้วย

เหล่านี้เป็นทริคง่าย ๆ ในการดื่มกาแฟให้คุณมีสุขภาพที่ดีหุ่นฟิตแบบไม่อ้วน เหมาะสำหรับคนที่ติดกาแฟไม่อยากหักดิบ รวมถึงคนที่กำลังหาทริคง่าย ๆ ในการหาเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วไม่ทำให้หุ่นสวย ลองทำตามกันดูแล้วคุณจะรู้ผลลัพธ์ เพราะนี่เป็นวิธีที่ใครก็ทำตามกันและได้ผล

เหนื่อยนักพักก่อน ทำงานติดพันส่งผลเสียมากกว่าที่คิด

ทำงานติดพันส่งผลเสียมากกว่าที่คิด

การทำงานที่บ้านมีข้อดีหลายประการในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากสถานที่ทำงานที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมงานและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่สาธารณะมีผู้คนพลุ่กพล่าน แต่ทราบหรือไม่ว่าการนั่งทำงานติดพันแบบไม่หยุดพักทำลายสุขภาพได้มากแค่ไหน

ประโยชน์ข้อหลักของการทำงานที่บ้านคือการปรับตารางเวลาทำงานอย่างยืดหยุ่น มีความสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำอาหารที่บ้าน มีเวลาให้กับครอบครัวและสัตว์เลี้ยง แต่จะมีประโยชน์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสมาธิและมีวินัยการทำงาน รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างเวลาทำงานและเวลาพักเพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ

ทำไมต้องมีเวลาหยุดพัก เพราะการทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้สมองล้า ถ้ามีเวลาพักช่วงสั้นๆ ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำกินของว่าง หรือออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ปลุกความรู้สึกสดชื่นสมองปลอดโปร่งช่วยให้มีสมาธิกับงานมากขึ้น เตรียมสมองให้พร้อมเมื่อกลับมาทำงานอาจเกิดความคิดใหม่ๆ วางแผนแก้ไขปัญหาได้ง่ายกว่าเดิม มีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากหยุดพักช่วงสั้นๆ ทำให้สมองตื่นตัวตลอดทั้งวันแล้ว ควรเพื่อรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเพื่อให้นอนหลับสนิทในตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาสดชื่นแจ่มใสช่วยให้สมองทำงานได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์และความจำดีขึ้น

เวลาไหนบ้างที่ควรหยุดพัก

เมื่อต้องการรวบรวมสมาธิโฟกัสกับงานสำคัญ ลองหยุดทำงานสักครู่ เพื่อให้สมองได้พักผ่อน รวบรวมสมาธิและความคิดก่อนกลับมาจดจ่อกับงานอย่างเต็มที่ ปิดโทรศัพท์ ปิดอีเมลและแชท รวมถึงปิดโทรทัศน์ระหว่างทำงานเพื่อไม่ให้เสียสมาธิ เมื่อไรที่พบว่าตัวเองกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แสดงว่าขาดสมาธิเป็นเวลาที่ควรพักผ่อนได้แล้ว

เมื่อสายตาล้า ปวดตา ดวงตาเริ่มแห้ง ให้หยุดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มนักทำเว็บไซต์ข่าว หวย ทีเด็ดบอลวันนี้ ที่ต้องอัพเดทข้อมูลทั้งวัน ลองหันไปมองวิวต้นไม้สีเขียวนอกหน้าต่างหรือลุกออกไปเดินเล่นพักสายตา รับประทานอาหารว่าง หรืองีบหลับพักสายตาสักครู่ เมื่อกลับมาทำงานจะมีสมาธิและดวงตาเหนื่อยล้าน้อยลง จิตใจกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

การหยุดพักทั้งที่มีงานค้างคายังทำไม่เสร็จ คงเป็นไม่แปลกที่จะหยุดคิดเรื่องงานในทันทีไม่ได้ เวลาพักไม่ได้พักจริงๆ การคิดเรื่องงานในช่วงเวลาพักทำให้สมองตื่นตัว คิดมากตึงเครียดตลอดเวลา กลายเป็นว่าสมองทำงานไม่ได้หยุดเลย ดังนั้นเวลาทำงานต้องทำเต็มที ตั้งสมาธิทำงานให้เสร็จตรงเวลา เมื่อถึงเวลาพักต้องพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ

ช่วงพักเบรกควรทำอะไร… ? แนะนำให้เปลี่ยนอิริยาบถลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือทำสิ่งอื่นที่แตกต่างไปจากงานที่ทำ คนทำงานจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ลองเปลี่ยนไปอ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ทำอาหาร หรือเดินเล่นพักผ่อนสมอง ทำสมาธิให้จิตใจสงบ ออกกำลังกายให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ทำกิจกรรมของครอบครัวหรืองานอดิเรกอื่นๆ แต่ไม่ควรเปิดโทรทัศน์เพราะข่าวทุกวันนี้มีแนวโน้มเป็นเรื่องร้ายทำให้เสียสมาธิได้ง่าย

การทำงานที่บ้านในชั่วโมงที่ลูกๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน ควรหาเวลาเล่นและพูดคุยกับลูกๆ โดยใช้โอกาสช่วงรับประทานอาหารเป็นช่วงเวลาที่ดีและตกลงกับเด็กๆ ว่าจะไม่รบกวนคุณในเวลาทำงาน ช่วยสร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัวอีกด้วย

การดูแลสุขภาพผิวในช่วงฤดูหนาว

การดูแลสุขภาพผิวในช่วงฤดูหนาว

สิ่งที่มาควบคู่กับความหนาวเย็นเสมอ ๆ เลยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเราก็คือสภาพผิวที่แห้งลง บางคนผิวแห้งลงมากจนถึงขั้นแตกเป็นลายงาก็มี เมื่อเราทราบว่าความเย็นในฤดูหนาวมีผลทำให้ผิวเราแห้งลง สิ่งที่เราควรต้องทำก่อนที่ผิวจะแตกแห้งก็คือการดูแลสุขภาพผิวอย่างถูกต้อง อะไรบ้างคือการดูแลสุขภาพผิวอย่างถูกต้อง ? ลองไปฟังคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดู

  1. พยายามอย่าอาบน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น
    อากาศหนาวแบบนี้ อาบน้ำเย็นใครจะทนได้ คนส่วนใหญ่เลยหันไปอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนแทน แต่ทราบหรือไม่ว่ายิ่งเราอาบน้ำอุ่นมากเท่าไร ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ผิวเราจะยิ่งเสีย เพราะน้ำอุ่นจะเร่งให้ร่างกายสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวจะแห้งมากขึ้นต่างหาก
  2. อาบน้ำให้ไวขึ้น
    บางคนเคยชินกับการอาบน้ำนาน ๆ ถึงแม้ว่าเป็นฤดูหนาว ก็ยังอาบน้ำนานเหมือนเดิม การอาบน้ำนานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราควรลดเวลาการอาบน้ำลงสักนิดนึง อาบน้ำให้ไว้ขึ้น นอกจากไม่หนาวนานแล้ว ยังจะทำให้ผิวไม่แห้งมากอีกด้วย
  3. หลีกเลี่ยงการถูสบู่ได้ก็จะดี
    ในฤดูหนาวร่างกายเราเหงื่อออกน้อย การอาบน้ำโดยไม่ต้องถูสบู่ในบางครั้งก็เป็นการดีที่จะไม่ทำให้ผิวเราสูญเสียความชุ่มชื้น หรือหากไม่สบายใจ กลัวว่าจะไม่สะอาดก็ให้เลือกใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจะดีกว่า
  4. อย่าลืมทาครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำทันที
    ทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ในขณะที่ร่างกายยังคงมีความชุ่มชื้นอยู่ เราควรรีบทาครีมบำรุงผิวลงไปทั่วร่างกาย รวมไปถึงใบหน้าด้วย เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้คงอยู่ได้นานที่สุด
  5. หลีกเลี่ยงครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
    ครีมบำรุงผิวในท้องตลาดมีมากมายหลายชนิดและยี่ห้อ ครีมบำรุงผิวที่ดีที่เหมาะกับการใช้ทาลงบนร่างกายในฤดูหนาวก็คือครีมที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะมีผลทำให้ผิวของเราแห้งง่ายมากยิ่งขึ้น
  6. ควรพกลิปบาล์มติดตัวไว้เสมอ
    อวัยวะบริเวณที่แตกแห้งง่ายในร่างกายของเราอันหนึ่งก็คือ ริมฝีปาก ดังนั้นการพกลิปมันหรือลิปบาล์มติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อจะได้หยิบขึ้นมาทาได้สะดวกทุกครั้งที่รู้สึกว่าริมฝีปากเราเริ่มแห้งลง
  7. บำรุงผิวด้วยน้ำสะอาดและอาหาร
    การบำรุงผิวจากภายในร่างกายเราก็มีความสำคัญ ดังนั้นการทานอาหารที่ช่วยให้ผิวสุขภาพดี เช่น อาหารจำพวกปลาทะเล ถั่วหรือเนื้อไก่ จะช่วยเพิ่มไขมันดีที่มี Omega 3 ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของผิวโดยตรง และที่สำคัญเราต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันอีกด้วย
  8. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่ระคายผิว
    ในฤดูหนาวนอกจากเราต้องใส่เสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันความหนาวเย็น เราควรเลือกเสื้อผ้าที่ไม่ทำให้ผิวหนังของเราเกิดความระคายเคืองด้วย

ทั้ง 8 ข้อที่กล่าวมาเป็นคำแนะนำดี ๆ จากแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทย ซึ่งหากเราทำได้ตามนี้ รับรองว่าสุขภาพผิวในฤดูหนาวนี้ จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ประคบร้อน ประคบเย็น ต่างกันตรงไหน ควรเลือกใช้ให้ถูกวิธี

ลูกประคบสมุนไพร

ลูกประคบสมุนไพร อาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่เด็กยุคใหม่ แต่สำหรับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่และปู่ย่า ตายาย ล้วนแต่รู้จักและใช้รักษาอาการต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันการแพทย์ทางเลือกหรือแพทย์แผนไทย นิยมใช้บำบัดรักษา เนื่องจากมีผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ มากขึ้น แม้ในแวดวงกีฬาและสันทนาการ เพื่อเป็นความรู้ให้กับคนทั่วไปได้เลือกใช้ลูกประคบให้เหมาะสมกับอาการเจ็บบาดเจ็บ เมื่อเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินกะทันหัน เช่น หกล้ม สะดุด ตกบันได หรือเกิดอุบัติเหตุอื่น ๆ อย่างน้อยก็จะช่วยบรรเทาอาการก่อนจะไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไปได้

  • การประคบร้อน ใช้เพื่อช่วยลดอาการปวดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ อาการปวดเมื่อย และตึงกล้ามเนื้อบริเวณ บ่า หลัง ไหล่ ต้นคอ น่อง ต้นขา และอาการปวดประจำเดือน โดยเริ่มประคบหลังจากมีอาการแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง โดยใช้ผ้าขนหนู กระเป๋าน้ำร้อน หรือลูกประคบ ที่ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ประคบบริเวณที่ปวดตึงครั้งละ 20-30 นาทีประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ไม่ควรประคบในบริเวณที่มีบาดแผลหรือมีเลือดออก หรือประคบนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น ประโยชน์ของลูกประคบสมุนไพร ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยลดอาการบวมอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและข้อต่อ และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดียิ่งขึ้นด้วย
  • การประคบเย็น สามารถทำได้ทันทีเมื่อมีอาการปวดหรือได้รับบาดเจ็บเช่น ปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดฟัน ข้อเท้าบวม เคล็ด เลือดกำเดาไหล หรือ มีอาการปวดบวมตามร่างกายในบริเวณอื่น ๆ โดยใช้น้ำแข็งหรือเจลทำความเย็นประคบตรงจุดที่มีอาการ วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณครั้งละ 20 นาที

สำหรับการเลือกใช้การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็นนั้นมีหลักพิจารณาเบื้องดังนี้

  1. หากผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันร่วมกับอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด ควรเลือกใช้การประคบเย็น เพราะความเย็นช่วยลดอาการบวม อักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยภายในกล้ามเนื้อฉีกขาดลง
  2. มีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือเรื้อรัง อาจมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อร่วมด้วย แนะนำให้ใช้การประคบร้อนเพื่อช่วยลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อ
  3. สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังเรื่องการประคบเย็น เพราะความเย็นจะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นได้ หรือเป็นโรคแพ้ความเย็นอย่างรุนแรง บางรายอาจแสดงอาการโดยมีผื่นแดงเกิดขึ้น เป็นต้น
  4. กรณีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีอาการปวดบวมอักเสบ เอ็น ข้อ กล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้การประคบด้วยอุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

หากจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือบำบัดรักษาอาการปวดบวมเบื้องต้น ควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือสอบถามผู้รู้ก่อนตัดสินใจ ทางที่ดีรีบไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

3 เมนูคลีนเพื่อสุขภาพ ทำเองได้ อร่อยด้วย

ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ก็หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ อาหารคลีนจึงเป็นตัวช่วยสำคัญอีกประการหนึ่งที่คุณสาว ๆ นิยมสร้างสรรค์วัตถุดิบที่หาได้ตามตลาดนัดและซุปเปอร์มาร์เก็ต มาปรุงเป็นเมนูเพื่อดูแลสุขภาพ ลดน้ำหนัก รักษารูปร่างและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ทว่าการกินอาหารคลีนเมนูเดิมซ้ำ ๆ บ่อยครั้งก็อาจจะจะทำให้คุณรู้สึกเบื่อได้ ดังนั้นวันนี้เรามีเมนูอาหารคลีนมาแนะนำ 3 เมนู ที่คุณสามารถซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว

ต้มยำคลีน

1.ต้มยำรวมมิตร เป็นเมนูยอดนิยม ที่เปิดโอกาสให้เราได้เลือกสรรวัตถุดิบได้สารพัดจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น อกไก่ ปลาดอลลี่ กุ้ง หรือปลาหมึก และเห็ดนานาชนิดตามชอบใจ ส่วนผสมและเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้คือเครื่องต้มยำ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกสด มะนาว ผักชีฝรั่ง เพิ่มสีสันด้วยน้ำพริกเผา หรือถ้าชอบต้มยำน้ำข้น ก็สามารถเติมนมจืดลงไปสักนิดหน่อยจะช่วยให้รสชาติละมุนลิ้นมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ใส่น้ำประมาณ 2 ส่วน 3 ลงในหม้อต้ม พอเดือด ใส่เครื่องต้มยำ ตามด้วยอกไก่หรือเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ รอจนเนื้อสัตว์สุกจึงใส่เห็ด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม เติมใบมะกรูดและผักชีฝรั่งลงไป เป็นอันเสร็จพิธี เวลาจะกินก็ตักใส่ภาชนะ บีบมะนาวเพิ่ม ใส่น้ำพริกเผาหรือเติมนมจืดเพื่อสร้างสีสันและรสชาติที่เข้มข้น

2.เมนูอกไก่พริกไทดำ นำอกไก่มาล้าง พักไว้ให้แห้ง ทุบกระเทียมพริกไทย เม็ดรากผักชี เตรียมไว้คลุกหมักอกไก่ แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย แล้วจึงนำอกไก่ลงผัดในกระทะ เติมน้ำเล็กน้อยผัดจนสุก เติมเกลือหรือซีอิ๊ว แล้วจึงตักใส่จานที่มีผักต้มหลากสีสัน เช่น แครอท, บรอกโคลี, ข้าวโพดอ่อน, ฟักทอง, ถั่วลันเตา, ถั่วฝักยาว ฯลฯ ที่จัดวางเรียงรายอยู่รอบจานสวยงามน่ารับประทาน

แกงส้มมะละกอ

3.แกงส้มมะละกอใส่กุ้งสด แกงส้มเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย แตกต่างกันไปตามวัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค สีสันของแกงส้มอยู่ที่ความลงตัวของผักนานาชนิดที่เลือกใช้ กับรายละเอียดปลีกย่อยของเครื่องปรุงพริกแกง ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกแกงส้มของภาคกลาง หรือว่าพริกแกงเหลืองของภาคใต้ที่เติมขมิ้นลงไปเป็นตัวชูรส เติมด้วยเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ หรือถ้าจะให้ได้ประโยชน์ที่หลากหลายขึ้น ลองเปลี่ยนมาใช้เนื้อปลาทูน่าแทนกุ้ง โขลกรวมกับเครื่องแกงส้ม ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับน้ำแกงส้มและเพิ่มโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นด้วย

ไม่ยากเลยใช่ใหมคะ สำหรับ 3 เมนูที่นำมาฝากกัน แถมท้ายด้วยหลักการเลือกแหล่งวัตถุดิบคลีนแบบพื้นฐาน เพื่อให้ได้แหล่งโปรตีนที่หาง่ายและราคาไม่แพง เช่น อกไก่/สันในหมู/ไข่ ส่วนคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำได้แก่ ข้าวกล้อง/ข้าวไรซ์เบอรี่ มีไฟเบอร์และวิตามินแร่ธาตุ ๆ หลายชนิด โดยเฉพาะข้าวไรซ์เบอรรี่นั้นมี แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) จัดอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและป้องกันแดด ส่วนไขมันดีได้จาก ไข่/ถั่วและนมอัลมอนด์ ส่วนผักเน้นผักที่ชอบและสีสันสวยงาม เช่น แครอท, ข้าวโพด, บรอกโคลี่, มันม่วง, ฟักทอง ฯลฯ ควรเพิ่มเครื่องเทศ จำพวก กระเทียม, พริกไทย, หอมใหญ่, ตะไคร้, กระเพรา เป็นต้น เพื่อเพิ่มรสชาติ แต่เครื่องปรุงหรือผงปรุงรสต่าง ๆ ให้ใส่แต่น้อย หรือจะไม่ใส่เลยก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้รับแต่คุณภาพและรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบล้วน ๆ

ฟ้าทะลายโจร พืชสมุนไพรที่ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก

ฟ้าทะลายโจร

ในอดีต ฟ้าทะลายโจร เป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันดีในฐานะยาประจำบ้าน โดยภูมิปัญญาของแพทย์แผนไทย ทำให้รู้ว่า ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณในการรักษาอาการเจ็บคอ เป็นไข้ และอาการท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อ ในปัจจุบันนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ฟ้าทะลายโจร พืชสมุนไพรก็โด่งดังเป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยผลการศึกษาวิจัยจากประเทศจีน ถึงสรรพคุณในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและช่วยรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจอย่างได้ผลดีเยี่ยม โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม ได้มีการทดลองทางห้องปฏิบัติการเพื่อหายาต้านโควิด-19 ล่าสุดมีรายงานผลเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ว่า สารสกัดฟ้าทะลายโจรและสารแอนโดรกราโฟไลน์ มีผลต่อการทำลายและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสในหลอดทดลองได้จริง

ฟ้าทะลายโจร ที่เรารู้จักนั้น เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ จีน อินเดีย ศรีลังกา ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น นิยมใช้ใบและลำต้นใต้ดินมาทำยา ไม่นานมานี้ประเทศจีนได้ทำการทดลองใช้สารแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) ในสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ กับไวรัสซาร์ส ซึ่งเป็นสายพันธุ์โคโรนาชนิดหนึ่งในหลอดแก้ว พบว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ สามารถหยุดยั้งไม่ให้ไวรัสซาร์สเข้าสู่เซลล์ในร่างกายได้ แม้ว่าผลการวิจัยจะนำไปสู่ความคาดหวังนานัปการ แต่ก็มีข้อห้ามสำหรับสตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ และผู้ป่วยโรคหัวใจรูห์มาติค เพราะเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น จึงเหมาะกับโรคไข้ที่มีฤทธิ์ร้อน

ด้วยสรรพคุณทางยาที่มีอยู่สูง จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง แน่นอนว่าเอามากินเล่นเป็นของว่างระหว่างอ่านข่าวฟุตบอลไปด้วยบ่อยๆคงทำไม่ได้ ต้องมีจำกัดทั้งในเรื่องของปริมาณ ความถี่ และระยะเวลารับประทาน เพราะหากทานมากเกินไปหรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจนำมาซึ่งอันตราย เช่น มีอาการแพ้ต่าง ๆ เกิดขึ้น อาทิเช่น ลมพิษ ผื่นคัน และอาการบวมตามร่างกาย หรือบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้หายใจลำบากได้ จึงควรศึกษาและปรึกษาแพทย์ด้วย ปัจจุบัน ฟ้าทะลายโจร ได้รับการบรรจุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในกลุ่มยารักษาอาการระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ

อย่างไรก็ตาม ฟ้าทะลายโจร พืชสมุนไพรพื้นบ้านที่เรารู้จัก ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของไทย ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์และเภสัชศาสตร์ในหลายต่อหลายประเทศ ร่วมมือกันค้นคว้าวิจัยและพัฒนา เพื่อหาแนวทางการรักษาโรคโควิด-19 ให้ได้ผลสำเร็จโดยเร็ว ซึ่งเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจนำไปสู่การต่อยอดแนวทางการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสมุนไพร เพื่อนำกลับมาใช้ดูแลสุขภาพของประชาชนคนไทยและประชากรโลกให้ยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต

สิ่งที่ห้ามพลาด ในการซื้อประกันสุขภาพ

สิ่งที่ห้ามพลาด ในการซื้อประกันสุขภาพ

การทำประกันเป็นสิ่งที่ช่วยรองรับความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต ทำให้ผู้ทำประกันสามารถใช้สิทธิ์ต่างๆ ภายใต้การคุ้มครองของกรมธรรม์ ในกรณีของการทำประกันสุขภาพก็เช่นเดียวกัน จำเป็นที่ผู้สนใจต้องศึกษาให้เข้าใจเงื่อนไขและรายละเอียดอย่างถ่องแท้ ก่อนการจรดปากกาเซ็นต์สัญญากรมธรรม์ เพื่อการรักษาสิทธิ์ของตัวเอง ซึ่งจะมีอะไรบ้างที่ไม่ควรพลาด เรามาดูพร้อมกันเลย

โรคหรือภาวะความเจ็บป่วยที่ได้รับความคุ้มครองมีอะไรบ้าง

ประกันสุขภาพจะไม่ครอบคลุมการเบิกค่ายา ค่ารักษาพยาบาลทางการแพทย์ ในโรคที่ผู้ทำประกันเป็นอยู่ก่อนแล้ว ดังที่เห็นว่าตัวแทนประกันจะต้องขอให้ลูกค้าตรวจสุขภาพก่อน ซึ่งแม้จะมีบางบริษัทที่โฆษณาว่าไม่ต้องตรวจร่างกาย แต่ก็จำเป็นต้องสอบถามเงื่อนไขในการรักษาพยาบาลในอนาคตไว้ด้วย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดอันทำให้เสียเบี้ยประกันไปอย่างเปล่าประโยชน์

การทำประกันสุขภาพให้สิทธิ์ในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเมื่อใด

ภายหลังการทำประกันสุขภาพแล้ว ไม่ใช่ว่าผู้เป็นเจ้าของกรมธรรม์จะสามารถขอเคลมค่ารักษาพยาบาลได้ทันที จำเป็นต้องเว้นระยะเวลาราว 30 วัน หลังการยื่นเอกสารหลักฐานอย่างครบถ้วนจึงจะมีสิทธิ์เบิกได้ ทั้งนี้ยังมีข้อยกเว้นในกรณีที่เป็นกลุ่มโรคเรื้อรังหรือโรคร้ายแรงบางชนิด เช่น โรคเนื้องอก โรคมะเร็ง โรคนิ่ว ฯลฯ จำเป็นต้องรอคอยเวลานานกว่านั้น อาจเป็นระยะเวลา 3 – 4 เดือนเลยทีเดียว

ประกันสุขภาพปฏิเสธการจ่ายเงินลูกค้าได้ไหม

คำถามนี้มักพบกับผู้ที่ทำประกันสุขภาพไปแล้วไม่สามารถเคลมเงินประกันได้ เราจึงควรทราบว่าทางบริษัทสามารถปฏิเสธการจ่ายได้ หากเข้าข่ายกรณีต่อไปนี้

  1. โรคร้ายที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่นั้น ถูกตรวจสอบพบว่าอยู่ในประวัติการรักษาของโรงพยาบาลมาก่อนการทำประกันสุขภาพ
  2. เป็นการรักษาเกี่ยวกับความสวยงาม เช่น รักษาสิว ฝ้า การทำเลเซอร์ลบรอยแตกลาย หรือกำจัดขนตามหน้าอก แขนขา รวมถึงการทำโบท็อกซ์ ศัลยกรรมเล็ก-ใหญ่เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความงาม เป็นต้น
  3. การนวด การฝังเข็มหรือการรักษาอื่นๆ ด้วยวิถีทางแพทย์แผนโบราณหรือแพทย์ทางเลือก
  4. การคลอดบุตร หรือการผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้ว กรณีผู้มีบุตรยาก

หลายท่านอาจเคยได้ยินกันมาบ้างว่ามีตัวแทนบริษัทบางรายแนะนำลูกค้าให้ปิดบังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคที่เป็น โดยอ้างว่าสามารถมีวิธีการป้องกันความลับนี้ไว้ได้ (หากเกินสองปีจะพ้นระยะที่บริษัทจะยกเลิกกรมธรรม์) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วบุคคลเหล่านี้เป็นตัวแทนที่เห็นแก่ตัวจำนวนน้อยที่ทำเช่นนั้น เพื่อต้องการค่าคอมมิชชั่นจากการขาย ซึ่งหากทางบริษัทมีการตรวจสอบภายหลังว่ามีการปิดบังข้อมูล ก็มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญากรมธรรม์กับลูกค้าได้ตามกฎหมาย

จะเห็นได้ว่า การทำประกันสุขภาพต้องใส่ใจในเงื่อนไขและสิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ อย่างรอบด้าน ก่อนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพทุกครั้ง ควรสอบถามเพื่อความมั่นใจและศึกษาข้อมูลในเอกสารกรมธรรม์ให้ละเอียดว่าตรงกับที่ตัวแทนประกันแจ้งไว้หรือไม่ หากมีข้อสงสัยใดๆ แนะนำให้สอบถามกับทางบริษัทโดยตรงจะดีที่สุด

วิธีลดเครียด แก้ปัญหาสุขภาพจิต ปี 2018

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเราอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่ทำให้มีความเครียดสูง การดูแลสุขภาพจิตด้วยการใช้เทคนิคต่าง ๆ ลดความเครียด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เรามาดูกันว่า ในปี 2018 มีเทคนิคลดความเครียดอะไรบ้าง ที่คนไทยนิยมกัน

1. การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิ่นเล่นหรือการวิ่ง ก็ทำให้ร่างกายได้หลั่งสารแห่งความสุข ทำให้ช่วยลดความเครียดได้ นอกจากนี้การกระโดดเชือกหรือการเต้นแอโรบิก เพียงแค่ช่วง 1 เพลง หรือ 4 นาที ก็ทำให้ลดความเครียดและอารมณ์เบื่อเซ็งไปได้เกินครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

2. การฟังเพลงที่ชอบ ในช่วงเวลาเบรคจากงานทุก 20 นาที หรือระหว่างการอาบน้ำ สามารถช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น ทั้งยังทำให้ช่วงเวลาพักนี้เป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่ให้สมองได้เบรค และ refresh จากเรื่องที่ครุ่นคิดอยู่ด้วย

3. การบริหารกล้ามเนื้อคอหลัง ไหล่ ในช่วงสั้น ๆ ระหว่างการทำงานทุกครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดอาการตึงกล้ามเนื้อจากโรคออฟฟิซซินโดรม รวมถึงได้พักสายตา ลดอาการปวดตึงขมับจากความเครียดในการทำงานได้เป็นอย่างดี

4. การดื่มกาแฟเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายคน แม้ได้กลิ่นกาแฟก็รู้สึก active ขึ้นมาแล้ว ทั้งนี้เพราะกาแฟมีสารคาเฟอีนซึ่งกระตุ้นร่างกาย ทำให้คลายจากความง่วงได้ แต่ก็ควรดื่มวันละ 1-2 แก้วเท่านั้น และไม่ควรดื่มหลังสี่โมงเย็น เพราะจะทำให้หลับยาก

5. การเคี้ยวช็อคโกแลตบาร์ ถั่ว อัลมอนด์และหมากฝรั่ง เป็นการทำให้เราได้ขยับช่วงขากรรไกร ซึ่งพบว่าสัมพันธ์กับอารมณ์เครียดที่จะลดลงได้ ทั้งนี้ยังมีการศึกษาพบว่าในช็อคโกแลตมีสารสำคัญตามธรรมชาติกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่จะทำให้อารมณ์เย็นและความคิดโลดแล่นขึ้นด้วย

6. การใช้กลิ่นอโรมาคลายเครียด จะเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์จำพวกน้ำมันหอม หรือครีมโลชั่นสูตรอโรม่า ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทั้งในและต่างประเทศ เพราะมีการวิจัยแล้วว่ากลิ่นลาเวนเดอร์และกลิ่นส้มซีตรัส จะช่วยให้สมองได้ผ่อนคลาย ลดความเครียดและทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น

7. การทำสมาธิ เป็นวิธีตามรู้ลมหายใจ เข้าออก สั้นยาว โดยไม่ไปบังคับ เป็นการฝึกให้มีสติและทำให้ลดความพลุ่งพล่านของอารมณ์ได้เป็นอย่างดี หากฝึกบ่อย ๆ จะทำให้ลดความรุนแรงของความโมโหและลดอาการ “โกรธง่าย หายช้า” ได้อย่างแน่นอน

ทั้งเจ็ดข้อที่กล่าวมา ล้วนเป็นเทคนิคที่คนไทยนิยมใช้สำหรับลดความเครียด ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพจิตของคนจำนวนไม่น้อย โดยในต่างประเทศก็มีคนอีกไม่น้อยใช้เทคนิคเดียวกันนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการฝึกสมาธิก็กำลังเป็นเทรนด์ที่นิยม เพราะมีการยืนยันแล้วว่าช่วยสร้างความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ได้เป็นอย่างดี

3 เหตุผลที่อาหารกลางวันโรงเรียน ควรมีคุณภาพดี

เลือกอาหารที่ดีต่อเด็กนักเรียน

ดูเหมือนโปรแกรมมื้ออาหารกลางวันของทุกโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและการปรับปรุงใหญ่ หลังจากกระแสข่าวขนมจีนคลุกน้ำปลาทำเอาช็อกไปตามกัน เราทุกคนรู้ดีว่าอาหารเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ สร้างความมั่นใจว่าเด็ก ๆ จะมีสุขภาพดี สร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สามารถเรียนรู้และเติบโตเต็มศักยภาพสูงสุดของแต่ละคน เพราะ “กินดี” จึง “เรียนดี” อาหารกลางวันของเด็กๆ ต้องมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่ใช่แค่อิ่มท้องเท่านั้น ในห้องอาหารกลางวันบางครั้งก็ยากที่จะตรวจสอบ ไม่ว่าจะเรื่องคุณภาพอาหารหรือแม้แต่ห้องเตรียมอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อาหารกลางวันของโรงเรียนนับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา หากเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่ามื้อกลางวันสำคัญมาก เมนูหลักมื้อกลางวันมักจะเป็นข้าว ผัดผักกับเนื้อสัตว์ ซุปหรือแกงจืด และนม 1 กล่อง นอกจากเมนูหลักแล้ว ยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะรับประทานอะไรมื้อนั้นจะต้องใส่ใจรายละเอียดของการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เด็กๆ ได้รับสารอาหารจำเป็นครบถ้วน

มีเหตุผล 3 ประการที่ว่าทำไมอาหารมื้อกลางวันในโรงเรียนควรมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่สุด ดังนี้…

1.การกินเพื่อสุขภาพเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิต

เด็กๆ ไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ ส่วนหนึ่งที่ควรเรียนรู้คืออาหารและโภชนาการมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพลังในการเรียนรู้ แม้ว่าความรู้เรื่องโภชนาการจะไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมอาหารที่ผลิตเมนูอาหารขยะออกมาหลอกล่อเด็กๆ ไม่เว้นแต่ละวัน แต่อย่างน้อยมื้ออาหารกลางวันในโรงเรียนควรเป็นตัวอย่างที่ดีว่าเราจะกินอะไรที่ดีต่อสุขภาพ เด็กๆ เรียนรู้อะไรจากโรงเรียน กลับบ้านก็จะไปบอกพ่อแม่อย่างนั้น เช่น บอกพ่อแม่ไม่ให้สูบบุหรี่เพราะครูสอนว่าไม่ดี ถ้าโรงเรียนจัดเมนูมื้อกลางวันที่มีคุณภาพ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจากที่โรงเรียนเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะชอบอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดที่ดูน่าอร่อย แต่เด็กจะรู้ว่าอาหารเหล่านั้นเต็มไปด้วยไขมัน ปริมาณเกลือมาก คุณค่าทางอาหารน้อย แคลอรี่สูง นานๆ ทีกินได้ และรู้ว่าอะไรกินดี เช่น อาหารสดอุดมด้วยสารอาหาร

2.โรงเรียนควรสนับสนุนอาหารที่ต่อสุขภาพ

สำหรับพ่อแม่ที่ดูแลลูกน้อยที่บ้านให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่มีสุขภาพดีอยู่เสมอ โรงเรียนไม่ควรทำลายความพยายามที่ดีของพ่อแม่ มื้ออาหารกลางวันต้องเลือกใช้วัตถุดิบที่มากด้วยคุณภาพ ไม่ใช่เนื้อลดราคาหรือเศษผักจากตลาด โดยไม่มองความสุขและสุขภาพที่ดีของนักเรียน สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเด็กยากไร้ด้อยโอกาส พวกเขาได้รับความสุขจากอาหารที่จะได้รับประทานในโรงเรียน เพราะอาหารการกินที่บ้านไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน

อาหารเด็ก ควรดีต่อสุขภาพ

3.เงินภาษีของเราไม่ควรทำให้เด็กป่วย

แน่นอนว่าภาษีที่เราจ่ายไปเป็นงบประมาณโครงการอาหารในโรงเรียน ควรปรุงมื้อกลางวันเป็นอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ใช่อาหารแปรรูปทำจากโปรตีนจากสัตว์ เหมือนอย่างเนื้อเบอร์เกอร์ที่นำเศษชิ้นเนื้อตัดแต่งมาบดผสมไขมันและอื่นๆ เต็มไปด้วยไขมันไม่ดีเรียกว่าอาหารขยะ เป็นเมนูอาหาร “รายการโปรด” ที่ไม่เป็นประโยชน์ จะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอ้วนในเด็ก คงไม่มีใครอยากให้เงินภาษีของตนเองใช้จ่ายซื้ออาหารคุณภาพต่ำทำให้เด็กเจ็บไข้ได้ป่วย

พ่อแม่และโรงเรียนมีส่วนสำคัญในการพัฒนานิสัยการกินที่ดีในช่วงต้นชีวิต อาหารไทยมีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพมากมาย หากรู้จักจัดสรร งบประมาณทำครัวไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมาก ปัจจุบันมีโครงการอาหารกลางวัน ปลูกผักสวนครัว ปลูกพืชไร่ เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เพื่อนำผลผลิตที่ได้มาสนับสนุนกิจกรรมโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน ส่งผลให้นักเรียนที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตมีสุขภาพอนามัยดีขึ้น ถือเป็นบทเรียนชีวิตที่สำคัญซึ่งไม่เพียงจะส่งผลดีต่อสุขภาพของนักเรียนเท่านั้น แต่ยังส่งต่อความรู้ไปถึงครอบครัวและคนรุ่นหลังอีกด้วย

วิธีป้องกันปัญหาสุขภาพดวงตา ที่มาจากการใช้คอมพิวเตอร์

ดวงตาล้า จากการจ้องหน้าคอม

การใช้คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นสิ่งปกติของคนจำนวนมากไปแล้ว ไม่ว่าจะในรูปแบบของเดสก์ทอปหรือแล็ปท็อป งานประจำวันส่วนใหญ่ทำบนคอมพิวเตอร์และส่วนมากเวลาของเราถูกใช้ไปกับการมองภาพที่หน้าจอ และยังรวมถึงการใช้แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน และเนื่องจากการสัมผัสกับหน้าจอเหล่านี้เป็นเวลานานเราจึงมีความเสี่ยงต่อปัญหาสายตามากขึ้นและปัญหาเกี่ยวกับสายตาเหล่านี้เรียกว่า Computer Vision Syndrome การป้องกันปัญหาสุขภาพในเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีต่อไปนี้

ไปทดสอบสายตาและตรวจสุขภาพ : ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดเมื่อคุณสังเกตเห็นว่าตัวเองมีน้ำตาไหลบ่อยๆ ปวดศีรษะและตาพร่ามัว แจ้งหมอที่ทำการตรวจเกี่ยวกับเวลาที่คุณใช้ไปบนหน้าจอทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

ออกกำลังกายให้ดวงตา : คนที่ใช้คอมพิวเอร์มีโอกาสสูงที่จะมีสายตาเบลอหรือเกิดการระคายเคืองในดวงตา ฝึกการออกกำลังกายแบบเรียบง่ายเช่นกระพริบซ้ำ ๆ กลิ้งตาไปมา และมองไปที่วัตถุที่ห่างไกลเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสายตาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการสัมผัสกับหน้าจอดิจิตอลเป็นเวลานาน

หยุดพักทุกๆ 20 นาที : หลีกเลี่ยงการทำงานด้วยการมองไปที่หน้าจอเป็นเวลานาน หยุดพัก 20 วินาทีหลังจากผ่านไปทุกๆ 20 นาที ถ้าคุณต้องทำงานเป็นเวลานาน เพื่อจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงโรคเกี่ยวกับสายตาได้ในระดับหนึ่ง

ให้แน่ใจว่าคุณนั่งอยู่ในแสงที่ดีในการทำงาน : เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดของสายตา แสงที่ดีจึงมีความสำคัญมาก ในการนั่งทำงานจึงมีควรแสงสว่างในระดับที่พอดีไม่มืดหรือจ้ามากเกินไป

ลดเวลาที่คุณใช้จ่ายไปกับหน้าจอ : คุณสามารถลดการใช้สายตาได้ด้วยการตัดเวลาที่คุณใช้ไปบนหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนของคุณเมื่อไปที่เตียงเพื่อจะนอน หลีกเลี่ยงการจ้องมองที่หน้าจอในที่มืดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ใช้เวลาบนหน้าจอเพื่อการทำงานเท่านั้น

จัดเรียงคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าจอแล็ปท็อป / เดสก์ท็อปมีระดับต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อยถ้และหน้าจอห่างจากใบหน้าประมาณ 20-28 นิ้ว

สวมแว่นตาป้องกันแสงสะท้อนและปรับการตั้งค่าหน้าจอของคุณ : คุณรู้ว่าในท้องตลาดมีแว่นตาคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดความเมื่อยล้าตา ปวดตา ปวดศีรษะ ใช้แก้วเช่นซึ่งจะช่วยให้การทำงานอย่างต่อเนื่องได้ดี แว่นตาเหล่านี้กรองแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากแท็บเล็ต เดสก์ท็อป แล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน รวมทั้งปรับความสว่างหน้าจอ ขนาดตัวอักษรและความคมชัดจนกว่าคุณจะพบการตั้งค่าที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

ทั้งหมดนี้คือการดูแลสุขภาพสายตาของคนในยุคใหม่อย่าง Computer Vision Syndrome เพื่อป้องกันปัญหาสายตาที่เกิดขึ้นได้หากใช้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานๆ