ออกกำลังกาย

เคล็ดลับดูแลร่างกายในวัยทำงาน เพื่อรากฐานสุขภาพในอนาคต

เคล็ดลับดูแลร่างกายในวัยทำงาน เพื่อรากฐานสุขภาพในอนาคต

วัยทำงานเป็นช่วงเวลาที่ใช้ทั้งร่างกายและจิตใจมากที่สุด เพราะต้องคอยรับมือทั้งกับงานและคนที่มักจะนำปัญหาต่าง ๆ เข้ามาให้แก้ไข การทุ่มเททั้งตัวและใจในการทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่การฝืนตัวเองจนนำไปสู่อาการเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดจากการทำงานเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นต้องหมั่นดูแลตัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทำได้ทุกวันด้วยวิธีการเหล่านี้

  1. ทานอาหารให้ตรงเวลา

คนทำงานมักมีภาระหน้าที่แทรกเข้ามาจนอาจทำให้ต้องทานอาหารไม่ตรงเวลาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย เพราะการทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำ ๆ อาจจะนำไปสู่โรคกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควรกำหนดเวลาทานอาหารอย่างจริงจัง อย่าอดอาหาร และควรทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นประจำด้วย

  1. อย่าอดนอนทำงาน

หลายคนชอบแบกงานค้างมาทำที่บ้าน เมื่อทำงานไปนาน ๆ รู้ตัวอีกทีเวลากลับผ่านไปทั้งคืนแล้ว วัยทำงานเป็นวัยที่มีความเสี่ยงในการอดนอนสูง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย เพราะการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคความดัน โรคหัวใจ แถมยังมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก ดังนั้นวัยทำงานควรนอนให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมง และควรฝึกเข้านอนให้เป็นเวลา จนร่างกายจดจำเป็นนิสัย จะได้รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่เริ่มวันใหม่ในตอนเช้า

  1. ปาร์ตี้แบบพอดี ๆ

การไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานในโอกาสต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสังคมของวัยทำงาน ยิ่งทำงานเครียดยิ่งอยากปลดปล่อย แต่การปาร์ตี้บ่อย ๆ อาจจะทำให้ต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสมองเสื่อม ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ไม่สมบูรณ์ แถมยังส่งผลต่อวงจรการนอนโดยตรง นอกจากนั้นถ้าเมาแล้วต้องขับรถกลับบ้านยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

  1. อย่านั่งแช่หน้าคอมนาน ๆ

การทำงานติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง คนทำงานมีโอกาสที่จะเผลอนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไป จนทำให้มีอาการเจ็บปวดที่คอ บ่า ไหล่ นอกจากนั้นยังเป็นการใช้สายตามากเกินควร สิ่งนี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดออฟฟิศซินโดรมโดยตรง ดังนั้นควรหมั่นลุกไปยืดเส้นยืดสายทุก 20 นาที และปรับสถานที่ทำงานให้เหมาะกับระยะสายตาและความสูงด้วย

  1. ทำงานแบบไม่เครียด

ความเครียดและความกดดันไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของงานดีขึ้น มีแต่จะบั่นทอนสุขภาพของคนเท่างานไปเปล่า ๆ ดังนั้นควรทำงานอย่างเต็มที่แต่ไม่กดดัน และอย่าลืมหาโอกาสในการผ่อนคลาย อาจจะด้วยการไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ หรือหางานอดิเรกทำหลังเลิกงาน นอกจากนั้นการใช้เวลากับคนที่รักหรือสัตว์เลี้ยงเป็นอีกทางในการดูแลสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดี

หลักการดูแลสุขภาพของวัยทำงานที่นำมาแนะนำในวันนี้เป็นพื้นฐานวิธีการดูแลตัวเองที่นำไปสู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน อย่าลืมว่าเมื่อคุณเกษียณงานจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณอีกต่อไป แต่สุขภาพร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่จะอยู่กับคุณไปจนท้ายที่สุด ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพมาเป็นอันดับหนึ่งจึงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

“สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” คำกล่าวที่ดูเหมือนจะเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก น่าแปลกที่คนเรารู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำ ยังทำในที่นี้หมายถึงทำร้ายตัวเองด้วยวิธีสารพัดไม่ต่างอะไรกับการเติมน้ำมันรถยนต์ผิดประเภท เป็นเครื่องเบนซินแต่ไปพลาดเติมน้ำมันดีเซล ร่างกายคนเราก็ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ และเป็นเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน มูลค่าสูงกว่ารถสปอร์ตหรูราคาสิบล้าน

นับตั้งแต่วัยเด็ก คนเราก็ถูกธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร ป้อนพลังงานที่ไม่เหมาะสมเข้าร่างกายแบบไม่รู้ตัว ทั้งขนมหวาน ลูกอม ขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูง อาหารจานด่วน ไอศกรีม รวมถึงน้ำอัดลมและน้ำหวาน ไม่นับถึงวัฒนธรรมการกินอาหารปิ้งย่างที่นำภัยร้ายเข้าสู่ร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่า โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง จะปรากฏแก่กลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง ๆ เหตุเพราะการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมนี้เอง

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

นอกจากอาหารที่กินเข้าไปอย่างไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีการออกกำลังกายที่น้อยลงด้วย จากพฤติกรรมเสพติดเทคโนโลยี รายการทีวีและสมาร์ทโฟน การเล่นเกมก็ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงมาก ซึ่งต่างจากการละเล่นสมัยก่อนที่เน้นการเคลื่อนไหวของสายตาและร่างกาย นอกจากนี้วัยผู้ใหญ่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งรถยนต์ บันไดเลื่อน ลิฟต์ ทำให้โอกาสในการออกกำลังกายก็ลดน้อยลง

วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเร่งรีบทุกอย่างรวมถึงการกินที่เคี้ยวเร็วเกินไป การกินข้าวคำน้ำคำ กินไปคุยไป และการปรุงรสที่มากเกินพอดี ยิ่งทำให้อาหารไม่ย่อย เกิดลมในกระเพาะ การได้รับโซเดียมสูงจากเครื่องปรุงรสและน้ำซุปต่าง ๆ และยังมีความเสี่ยงจากอาหารเป็นพิษ หากบังเอิญกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะมีเชื้อโรคปน ก็ทำให้สุขภาพอยู่ในความเสี่ยง

ด้วยภาวะความเสี่ยงด้านต่าง ๆ จะกลายเป็นชนวนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาในระยะเวลาที่ร่างกายมีอายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพลดลง หรือพักผ่อนน้อยจากความเครียดในการทำงานและใช้ชีวิต ซึ่งหลายคนก็ถือว่าอาจจะสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขให้สุขภาพกลับมาดีดังเดิม หรือถ้าแก้ไขได้ก็ทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพงอีก

จะดีกว่าไหม ถ้าคนเราจะคำนึงถึงสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการของโรคปรากฏ แต่หันมาดูแลการกินและการอยู่ของตนเองว่าควรจะปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง อะไรที่ทำผิดแนวทางอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเสียใหม่ หลายคนอาจจะปรับชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือถ้าจิตใจเข้มแข็งพอ แต่บางคนก็ต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เริ่มจากการมองตัวเองในกระจก วัดรอบเอวว่าได้กี่นิ้ว ไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาล รวมถึงสุขภาพในช่องปาก แล้วจดบันทึกเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาตนเอง จะทำให้มีกำลังใจดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว

บอกต่อวิธีดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นหวัดง่ายปี 2019

บอกต่อวิธีดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นหวัดง่ายปี 2019

โรคหวัด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน สังเกตจากการเริ่มเป็นไข้ จาม คัดจมูก เจ็บคอ ฯลฯ ซึ่งอาจจะเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียแทรกซ้อนก็เป็นได้การดูแลสุขภาพให้ดีจากการใส่ใจกิจวัตรประจำวันก็จะช่วยให้ลดความถี่ในการเป็นหวัดได้ดียิ่งขึ้น

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหวัดมาฝากกัน

1. การดื่มน้ำผลไม้คั้นสดเป็นประจำจะทำให้คุณได้รับวิตามินซีที่เข้มข้นตามธรรมชาติ โดยเฉพาะแอปเปิ้ล ฝรั่ง ส้ม เสาวรส สตอเบอรี่ มะนาว ฯลฯ ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้นได้ถ้ารับประทานเป็นประจำ ทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นระหว่างวันมากยิ่งขึ้นด้วย

2. นวดเพื่อผ่อนคลายบ่อย ๆ หรือการนวดแผนโบราณเพื่อคลายเส้นและความตึงเครียด มีการศึกษาพบว่าจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยในการกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองที่สำคัญต่อการป้องกันโรคหวัด แต่ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น ความดันสูง โรคหัวใจ หรือต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

3. ดื่มน้ำชาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นชาดำ ชาเขียว ผสมมะนาว น้ำผึ้ง ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้ดีขึ้น จากวิตามินซีและสารโปรตีนที่มีคุณค่าของน้ำผึ้งที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัดได้ นอกจากนี้ ไอระเหยจากน้ำชา ก็ยังช่วยให้รู้สึกโล่งจมูกมากขึ้นได้

4. ล้างมือบ่อย ๆ จะทำให้ลดปริมาณของเชื้อโรคที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเข้าร่างกาย โดยการสัมผัสใบหน้าจมูกปาก หากมีบุตรหลานวัยเด็กเล็กก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง ล้างมือบ่อยยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อไปสู่เด็กซึ่งภูมิต้านทานอ่อนแอกว่าได้

นวดเพื่อผ่อนคลายบ่อยๆ

5. นอนหลับอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง จะช่วยการซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ร่างกายที่ทำงานหนัก ทำให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้

6. สวมถุงเท้าเวลานอน เพื่อช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายคงที่อบอุ่นอยู่เสมอโดยเฉพาะผู้ที่นอนในห้องแอร์ และเด็กเล็กที่ผิวหนังบอบบาง

7. รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและสังกะสี เช่น ไข่ไก่ และอาหารทะเล มีการวิจัยพบว่าจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว จึงลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้

8. ออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ เต้นแอโรบิก เป็นประจำวันละ 30 นาที จะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น

วิธีการป้องกันโรคหวัดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ควรทำในชีวิตประจำวัน ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพดีขึ้นและห่างไกลจากโรคอื่นได้ด้วย

สุขภาพ ที่ดีมีได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น

สุขภาพ

การที่จะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นไม่ได้จะไปหาซื้อจากที่ไหนก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะด้วยการ ออกกำลังกาย การทำงานต่างๆ เพื่อให้สุขภาพเราดีขึ้นได้ด้วย การออกกำลังกาย ทุกวันถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เราควรทำเลยทุกวัน ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายให้นา่นมากไป เพราะอาจจะเป็นการทำลายกล้ามเนื้อของเราเองเสียเปล่าๆ สุขภาพที่ดี มีวิธีทำอยู่หลายแบบ หลายอย่าง ไม่ต้องไปเสียเงินออกกำลังกายเป็นคลอสหรืออะไรที่ต้องเสียเงิน สามารถทำเองได้ทั้งนั้น

ดื่มน้ำให้มาก ต่อวัน

1.ดื่มน้ำให้มาก ต่อวัน การดื่มน้ำให้ได้เยอะๆต่อวันเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม เพราะการที่เราได้ดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ แล้ว จะทำให้ร่างกายของเราได้มีการล้างสิ่งต่างๆที่อยู่ในร่างการ หรือเป็นการช่วยไตให้ทำงานได้ดีมากขึ้น เพราะการดื่มน้ำ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยากเลย แต่บางคนจะไม่ชอบตรงที่ว่าจะต้องไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆนั้นเอง หลายคนกินน้ำก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายต่อวัน แต่เราเองควรทำได้เลยก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว

ออกกำลังกาย

2.การออกกำลังกาย ทุกวัน ไม่จำเป็นจะต้องออกกำลังกายให้หักโหเกินไปเพื่อที่จะต้องการลดน้ำหนัก หรือฟิตหุ่นให้ดีขึ้นนั้นเอง ต้องออกให้พอเหมาะพอดี ต่อร่างกายของเรา ให้แนะนำก็คือ ออกกำลังกายวันละ 30 นาทีก็พอแล้ว อาจจะเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานมาก็ได้ แล้วอาบน้ำนอนพักผ่อนไปเป็นตามปกติ หลังจากที่ออกกำลังกายมาใหม่ ก็อย่าพึ่งไปดื่มน้ำ เพราะอาจจะทำให้เราจุกเลยก็เป็นได้ ควรกินหลังจากที่ออกกำลังกายสัก 20 นาทีต่อมา

สุขภาพจะดีได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา สามารถทำได้เองทุกวัน และไม่ต้องออกไปทำนอกบ้านหรือจะต้องไปเสียเงินเพื่อต้องการให้ร่างกายดีขึ้น ทำเองได้เลยที่บ้าน เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆก็ทำได้ แล้วคุณละ ทำได้หรือเปล่า ต้องมาลองกันนะคะ แล้วเราจะรู้ว่าชัยชนะรอคุณอยู่คะ

ออกกำลังวันละนิด พิชิตโรคร้าย สร้างสุขภาพดีแบบไม่เสียเงิน

พิชิตโรคร้าย

เรื่องของการออกกำลังกายหลายคนคิดว่าต้องไปฟิตเนส ต้องหาเวลาไปออกกำลังกายตาสวนสาธารณะ หรือ ไปเข้าคลาสออกกำลังกายแบบต่างๆ แต่จริงๆแล้วไม่จำเป็นเลยหากคุณไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้น คุณสามารถสร้างสุขภาพดีได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร และการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ที่บ้านคุณเอง เราอยากให้คุณนึกย้อนไปวัยเด็กสมัยเรียนวิชาพละ จำได้ไหมว่าเราออกกำลังกายกันแบบไหนบ้างไม่ว่าจะเป็น กระโดดตบ กระโดดเชือก หรือท่าบริหารร่างกายแบบต่างๆ นั่นล่ะที่คุณทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินและใช้เวลาเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าก่อนอาบน้ำเพื่อไปทำงานหรือไปเรียน หรือแม้แต่เวลาตอนค่ำ ก่อนอาบน้ำเข้านอน การออกกำลังกายง่ายๆมีหลายแบบนอกเหนือจากที่เรากล่าวมาเช่นการเต้นแอโรบิคตามคลิป

การบริหารร่างกายในแบบต่างๆที่หาดูได้จากคลิป เลือกแบบที่ไม่ยากเกินไป และเป็นการออกกำลังกายพื้นฐาน และแม้แต่การเดินในระยะเวลา 15-30 นาทีขึ้นไปเช่นการเดินขึ้นบันไดหลายๆชั้นแทนการขึ้นลิฟท์ วิธีที่หลากหลายที่คุณคาดไม่ถึงในแบบต่างๆหากคุณปรับมันมาเป็นการออกกำลังกาย คุณก็ถือว่าได้เริ่มดูแลสุขภาพแล้ว และหากทำเป็นประจำคุณสามารถออกกำลังกายได้เอง ประหยัดเงินและใช้เวลาในชีวิตได้คุ้มค่า ยกตัวอย่างเช่น การเดินในระยะสั้นแทนการขึ้นรถโดยสาร ยกตัวอย่างเช่นในช่วงเย็นๆ ที่คุณกำลังกลับบ้านหากไม่เหนื่อยเกินไปนักลองเดินระยะสั้นๆกลับเข้าทีพักดูลองคำนวณระยะทาง และเวลาคุณจะได้เผาผลาญไขมันในร่างกาย สร้างความแข็งแรงแบบง่ายๆ และปัจจุบันสมาร์ทโฟนหลายๆรุ่นสามารถใช้แอพคำนวณระยะเวลาการออกกำลังกายได้ วัดชีพจรได้ และคำนวณแคลลอรี่ที่เผาผลาญได้ คุณลองทำดูแล้วจะรู้ว่ามันง่ายกว่าที่คิด

หมั่นตรวจสุขภาพ

หรือแม้แต่การเดินย่อยหลังอาหารกลางวัน หลายๆคนที่ทำงานออฟฟิศจะมีปัญหากับการออกกำลังกายหลายคนมีรูปร่างอวบขึ้นเพราะไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่หากหลังมื้ออาหารลองใช้การเดินเป็นการออกกำลังกายเบาๆแต่ไม่ใช่เดินจนจุกนักทานอาหารอิ่มแล้วนั่งสักพักแล้วค่อยๆเดินกลับออฟฟิศหรือเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ประมาณสัก 3 ชั้นจะช่วยให้คุณเผาผลาญอาหารและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

เห็นไหมว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ปรับการใช้ชีวิตเปลี่ยนแค่บางอย่างที่คุณสามารถคิดว่าทำได้และทำให้มันเป็นการออกกำลังกายทำเป็นประจำจนชินร่างกายจะเริ่มปรับตัวโดยธรรมชาติ และมันส่งผลดีกับตัวคุณเอง ประหยัดทั้งเงินและใช้เวลาในแต่ละช่วงให้เกิดประโยชน์กับสุขภาพ โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินแพงๆ หรือต้องหาเวลาไปออกกำลังกายหากคุณไม่มีเวลามากพอกับเรื่องเหล่านี้ แบ่งเวลาเล็กๆน้อยวันละ 30 นาทีเพื่อสุขภาพเราคิดว่าคุณทำได้และควรทำด้วยหากคุณอยากมีสุขภาพดีแบบไม่เสียเงิน