วิธีดูแลสุขภาพ

เคล็ดลับ 10 ประการในการดูแลร่างกายเพื่อให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง

เคล็ดลับ 10 ประการในการดูแลร่างกายเพื่อให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง

1.ขยับร่างกาย ตั้งเป้าออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาทีเกือบทุกวันในสัปดาห์ การออกกำลังกายช่วยให้อารมณ์ การนอนหลับ และระดับพลังงานของคุณดีขึ้น รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังด้วย

2.รับประทานอาหารที่สมดุล เติมจานของคุณด้วยผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด เลือกแหล่งโปรตีนไร้มัน เช่น ปลา ถั่ว และสัตว์ปีก จำกัดไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อาหารแปรรูป และน้ำตาลที่เติมเข้าไป

3.รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้น ดื่มน้ำปริมาณมากตลอดทั้งวัน ตั้งเป้าดื่มน้ำแปดแก้วต่อวัน แต่ปรับตามระดับกิจกรรมและสภาพอากาศของคุณ

4.นอนหลับให้เพียงพอ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการนอนประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน การนอนหลับให้เพียงพอถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

5.จัดการความเครียด ค้นหาวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการจัดการความเครียด เช่น โยคะ การทำสมาธิ หรือการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณได้

6.ท้าทายสมองของคุณ ทำให้สมองของคุณกระตือรือร้นโดยการเรียนรู้สิ่งใหม่ เล่นเกม และการอ่าน

7.เชื่อมต่อกับผู้อื่น การเชื่อมโยงทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพจิต หาเวลาให้กับเพื่อนและครอบครัว และเข้าร่วมชมรมหรือกลุ่มที่คุณสนใจ

8.รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและคัดกรองเป็นประจำ สิ่งนี้สามารถช่วยระบุและป้องกันปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

9.ห้ามสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ ถ้าคุณสูบบุหรี่ให้เลิก ถ้าไม่สูบบุหรี่ก็อย่าเริ่ม

10.จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายประการ รวมถึงความเสียหายของตับ โรคหัวใจ และมะเร็ง

การผสมผสานนิสัยเหล่านี้เข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณ จะช่วยสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ นำไปสู่ชีวิตที่มีสุขภาพดีและมีความสุขมากขึ้น

การทานผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

การทานผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

การทานผักผลไม้เป็นประจำนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างมากมาย ดังนี้

1. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

ผักผลไม้มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ สังกะสี ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ

2. ย่อยอาหารดีขึ้น

ผักผลไม้มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ

3. ควบคุมน้ำหนัก

ผักผลไม้มีแคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มท้องนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

4. ผิวพรรณสดใส

ผักผลไม้มีวิตามินซี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ชะลอวัย

5. ป้องกันโรคเรื้อรัง

การทานผักผลไม้เป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน

คำแนะนำในการทานผักผลไม้

-ทานผักผลไม้ให้หลากหลายชนิด หลากสีสัน อย่างน้อยวันละ 400 กรัม แบ่งเป็นผัก 300 กรัม และผลไม้ 100 กรัม

-เลือกทานผักผลไม้ตามฤดูกาล

-ทานผักผลไม้สด ไม่ผ่านความร้อน จะได้รับสารอาหารครบถ้วน

-ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนทาน

-ทานผักผลไม้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารทุกมื้อ

การทานผักผลไม้เป็นประจำ เป็นวิธีง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพ ให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณสดใส และป้องกันโรคต่างๆ ได้

เคล็ดลับสุขภาพที่ดีในเด็กทารก

เคล็ดลับสุขภาพที่ดีในเด็กทารก

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพที่ดีของทารกมีดังนี้

1.ให้นมลูกอย่างน้อย 6 เดือน นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกและให้สารอาหารทั้งหมดที่ต้องการ

2.เริ่มเป็นของแข็งเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน เมื่อคุณเริ่มทานอาหารแข็ง ให้ให้อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงแก่ลูกน้อย เช่น เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา และซีเรียลเสริมธาตุเหล็ก

3.ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณนอนหลับเพียงพอ ทารกต้องการนอนประมาณ 14-17 ชั่วโมงต่อวัน

4.รักษาสภาพแวดล้อมของลูกน้อยให้สะอาด ล้างมือบ่อยๆ และทำความสะอาดของเล่นและขวดนมของลูกน้อยเป็นประจำ

5.พาลูกน้อยของคุณไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ นี่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณมีสุขภาพแข็งแรงและพัฒนาอย่างเหมาะสม

6.รับวัคซีนตามกำหนดเวลาที่แนะนำ วัคซีนปกป้องลูกน้อยของคุณจากโรคร้ายแรง

7.พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับข้อกังวลใด ๆ ที่คุณมีเกี่ยวกับสุขภาพของทารก พวกเขาสามารถช่วยให้ลูกน้อยของคุณแข็งแรงและมีความสุข

เคล็ดลับเพิ่มเติมการดูแลเอาใจใส่ของแม่ที่มีต่อเด็กทารก

-ให้ของเหลวแก่ลูกน้อยของคุณมากมาย น้ำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่คุณสามารถให้นมแม่หรือนมผงแก่พวกเขาได้เช่นกัน

-หลีกเลี่ยงการให้เครื่องดื่มที่มีรสหวานแก่ลูกน้อย เช่น น้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ เครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ฟันผุและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้

-อย่าปล่อยให้ลูกน้อยของคุณร้อนหรือเย็นเกินไป แต่งตัวเป็นชั้นๆ เพื่อให้คุณสามารถปรับเสื้อผ้าได้ตามต้องการ

-ดูแลลูกน้อยของคุณให้ปลอดภัยจากการหกล้มและการบาดเจ็บอื่นๆ วางประตูไว้ที่ด้านบนและด้านล่างของบันไดและดูแลลูกน้อยของคุณอยู่เสมอ

คุณสามารถช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขได้โดยการเอาใจใส่ดูแล ปฏิตามข้อความที่กล่าวมาข้างต้น

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

น้ำคือสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพ นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบดื่มน้ำธรรมดา หรือชาน้ำเขียวอุ่นๆ ที่สำคัญก็คือคุณจะต้องแน่ใจว่า ในแต่ละวันนั้นคุณดื่มน้ำเพียงพอ สายเฮลตี้ทั้งหลายต่างก็ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราต้องการน้ำ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเป็นองค์ประกอบหลักในเลือด และที่สำคัญน้ำจะช่วยให้สมองของคุณทำงานได้อย่างปกติ

ดื่มน้ำเวลาไหนร่างกายจะได้ประโยชน์มากที่สุด 

งานวิจัยในด้านการแพทย์ แนะนำให้สำหรับเพศชายนั้นควรจะได้รับของเหลวรวมทั้งน้ำ อย่างน้อย 13 แก้วต่อวัน ส่วนเพศหญิง 8 แก้วขึ้นไปต่อวัน จึงจะเหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ตัวเลขนี้ก็อาจจะยืดหยุ่นขึ้นลงได้ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมในแต่ละวันของคุณด้วย เช่น หากคุณเป็นหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร คุณก็ต้องเพิ่มปริมาณน้ำที่ควรจะได้รับในแต่ละวันให้มากขึ้น และสำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคุณควรจะดื่มน้ำเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในแต่ละวันนั้น เป็นอย่างไรมาดูกันเลย

1. ช่วงเวลาหลังตื่นนอนใหม่ ๆ 

เนื่องจากในช่วงที่คุณนอนหลับ ร่างกายไม่ได้รับน้ำเป็นเวลานาน ดังนั้นการที่คุณดื่มน้ำอุ่นๆ สัก 2 ถ้วยในตอนนี้ จะทำให้ร่างกายของคุณสดชื่นขึ้นในทันที

2. ก่อนมื้ออาหาร

การดื่มน้ำสัก 1 แก้วก่อนมื้ออาหารจ ะช่วยลดความหิวลงได้ น้ำที่คุณดื่มเข้าไปจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้มากขึ้น ทำให้คุณลดการบริโภคที่เกินกว่าจำเป็นได้อีกด้วย แต่เทคนิคการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็คือ คุณควรจะดื่มน้ำอุ่นๆ เพราะจะช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น

3. ดื่มน้ำหลังมื้ออาหาร

การดื่มน้ำหลังมื้ออาหารจะช่วยส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหาร น้ำจะช่วยล้างช่องปากและหลอดอาหาร รวมทั้งช่วยให้อาหารเคลื่อนไปในระบบการย่อยผ่านกระเพาะและลำไส้ได้ดี โดยเฉพาะหากคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง การจับตัวของไฟเบอร์กับน้ำ จะทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณเป็นไปโดยปกติมากยิ่งขึ้น

4. ดื่มน้ำสัก 2 แก้วในช่วงบ่ายแก่ ๆ

เป็นธรรมดาอยู่เองที่ในช่วงเวลาบ่าย ผู้คนมักจะรู้สึกง่วงงุนขาดความกระปรี้กระเปร่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งคนบางคนเลือกที่จะดื่มกาแฟ ข้อดี ก็คือ กาแฟก็ถือว่าเป็นของเหลวเหมือนกัน แต่หากคุณลองแปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นๆซัก 2 แก้วแทน  คุณจะรู้สึกว่า คุณได้รับความสดชื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด แถมยังช่วยลดการบริโภคคาเฟอีนอีกด้วย

การปรับนิสัยการดื่มน้ำเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเราจะเคยชินกับนิสัยเดิม ๆ แต่เชื่อว่าหากคุณมุ่งมั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป ลองเก็บขวดน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว บนโต๊ะทำงาน ข้างเตียงนอน ก็จะทำให้ง่ายต่อการที่คุณจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม สุขภาพดีนั้นเริ่มต้นไม่ยาก เพียงแค่ดื่มน้ำให้ถูกต้องและเพียงพอ แล้วคุณก็จะเป็นคนที่สตรองและเฮลตี้ในที่สุด

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

ในช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายที่กล่าวถึงประโยชน์ของอาหารด่างหรืออาหารที่มีค่า pH ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในช่วงที่มากกว่า 7 ซึ่งในทางโภชนศาสตร์จะเรียกว่า อาหารอัลคาไลน์ ที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับน้ำดื่มที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ที่นำเสนอมากมายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพได้ซื้อหา ดังนั้นเราจะเปิดมุมมองในเชิงวิทยาศาสตร์ และนำเสนอข้อเท็จจริงในอีกแง่มุม ถึงผลลัพธ์และคุณประโยชน์ในเชิงของผลกระทบที่มีต่อร่างกายของผู้ที่รับประทานอาหารด่าง

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับอาหารด่าง ว่าเป็นอาหารประเภทอะไร ในทางวิทยาศาสตร์เมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป ร่างกายก็จะนำอาหารไปใช้ โดยผ่านกระบวนการเผาผลาญ เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงอาหารเหล่านี้ไปเป็นพลังงาน แล้วจะมีผลพลอยได้เป็นของเสีย ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกทางระบบปัสสาวะ โดยของเสียที่เกิดขึ้นจากอาหารประเภทต่าง ๆ ก็จะส่งผลทำให้ค่า pH ในปัสสาวะของเราแตกต่างกัน โดยอาหารที่เรียกว่าอาหารด่างนั้น หลังจากเกิดปฏิกิริยาการเผาผลาญของเสียที่ได้จากอาหารประเภทนี้ จะทำให้ค่า pH ของปัสสาวะของเรา มีค่าเป็นด่างนั่นเอง 

ตัวอย่างอาหารให้ของเสียที่ทำให้ปัสสาวะของเราเป็นด่าง ได้แก่ อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการทั้งหลาย โดยเฉพาะผักสด ผลไม้ หรือน้ำผลไม้สกัดเย็น มันฝรั่ง ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต สมุนไพรต่าง ๆ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด เมล็ดเจีย เมล็ดเฟล็กซ์

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการเผาผลาญอาหารเหล่านี้จะส่งผลกับค่า pH ในปัสสาวะ แต่ในความเป็นจริง ในเรื่องของการรักษาสมดุลของค่า pH ซึ่งจะส่งผลกับสุขภาพโดยตรงนั้น จะไม่ใช่ค่า pH ในน้ำปัสสาวะ แต่เป็นค่า pH ในกระแสเลือด ซึ่งโดยปกติเลือดของคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์จะอยู่ในช่วงค่า pH ประมาณ 7.36 ถึง 7.44 หรือ เรียกได้ว่าเลือดจะมีลักษณะที่เป็นด่างเล็กน้อยอยู่เสมอ ในกรณีที่ค่าสมดุล pH ในเลือดของคุณไม่เหมาะสม คือมีลักษณะเป็นกรด จะเสี่ยงกับการเกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคบางอย่างอย่าง เช่น โรคเบาหวาน 

แต่ร่างกายของคนเราก็มีกลไกในการที่จะคงรักษาระดับค่า pH ของกระแสเลือดให้คงที่เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นหากเราหยิบยกประเด็นที่ว่า อาหารด่างช่วยรักษาสมดุลของค่า pH ของร่างกาย และทำให้สุขภาพดีนั้น จึงถือว่าไม่ตรงกับกลไกโดยปกติของร่างกายนัก

เมื่อพิจารณาถึงประเภทชนิดของอาหารด่างตามที่กล่าวข้างต้น เราจะพบว่าอาหารเหล่านี้ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่สำหรับประเด็นการรักษาสมดุลค่า pH ของร่างกาย แต่ดีกับร่างกายในแง่เป็นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป มีกากใยสูง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อน้ำด่างหรือรับประทานแต่อาหารด่างเท่านั้น การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สดใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ต่อความมีสุขภาพที่ดีได้มากกว่านั่นเอง

วิธีดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคความดันโลหิตสูง

ดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัญหาสุขภาพของคนไทยและคนทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งเดิมทีจะพบในกลุ่มผู้สูงอายุวัยหลังเกษียณ ซึ่งเกิดจากความเสื่อมโทรมของร่างกายตามธรรมชาติ แต่มีผลการวิจัยที่ยืนยันว่า ในปัจจุบัน กลุ่มคนที่อายุน้อยลง เช่น วัยรุ่น วัยทำงาน เป็นภาวะความดันโลหิตสูงมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การบริโภคที่ไม่เหมาะสมและการขาดการออกกำลังกาย

ดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูง

การออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายจะช่วยในการสร้างสมดุลของระบบหัวใจและหลอดเลือด ให้ทำงานเป็นปกติยิ่งขึ้น ช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน รวมถึงลดระดับไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด หรือโคเรสเตอรอลที่อุดตันหลอดเลือดทำให้เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง เป็นประจำสม่ำเสมอหรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ตามความเหมาะสมของพื้นฐานสุขภาพแต่ละคน จะทำให้ระดับความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ 120/80 มากยิ่งขึ้น

การควบคุมอาหาร อาหารบางชนิดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงได้ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงจากพันธุกรรมอยู่แล้ว จากการมีประวัติของคนในครอบครัว จึงต้องลดการบริโภคลง ได้แก่ อาหารที่มีเกลือเข้มข้นสูง เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำปลาร้า ซอสมะเขือเทศ รวมถึง อาหารที่ใส่ผงฟู เช่น ขนมปัง เค้ก คุ้กกี้ หรือผงชูรสในอาหาร หากประกอบอาหารเอง ต้องลดสัดส่วนของสารที่กล่าวมาอย่างน้อย 1 ในสาม ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

การฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง การมีปัญหาความเครียดสะสม จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หลอดเลือดหดเกร็งตัว แล้วไปเพิ่มระดับความดันโลหิตสูงให้สูงขึ้น ซึ่งเราอาจเคยได้ยินข่าวว่าผู้ที่มีความเครียดมากจนทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น จนอาจเกิดภาวะหัวใจวายได้ การฝึกจิตใจด้วยการปล่อยวางความเครียด อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป และให้เวลากับการพักผ่อนให้มากขึ้น จะทำให้ลดภาวะเครียดได้ดียิ่งขึ้น

เลิกการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายได้รับสารนิโคตินในปริมาณสูง ทำให้หลอดเลือดสูญเสียคุณสมบัติด้านการยืดหยุ่นที่ดีไป และยังได้รับสารอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นถี่ขึ้น เกิดการหลั่งสารอะดรีนาลีนซึ่งทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากคุณไม่ต้องการที่จะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ก็ควรลดการสูบบุหรี่ลงด้วย หรือถ้าเลิกสูบบุหรี่ได้ จะยิ่งดีมาก

เราหวังว่าบทความนี้จะให้แนวทางในการดูแลสุขภาพที่ดี เพื่อให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงได้ดียิ่งขึ้น

โรคความดันโลหิตสูง

บอกต่อวิธีดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นหวัดง่ายปี 2019

บอกต่อวิธีดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นหวัดง่ายปี 2019

โรคหวัด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน สังเกตจากการเริ่มเป็นไข้ จาม คัดจมูก เจ็บคอ ฯลฯ ซึ่งอาจจะเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียแทรกซ้อนก็เป็นได้การดูแลสุขภาพให้ดีจากการใส่ใจกิจวัตรประจำวันก็จะช่วยให้ลดความถี่ในการเป็นหวัดได้ดียิ่งขึ้น

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหวัดมาฝากกัน

1. การดื่มน้ำผลไม้คั้นสดเป็นประจำจะทำให้คุณได้รับวิตามินซีที่เข้มข้นตามธรรมชาติ โดยเฉพาะแอปเปิ้ล ฝรั่ง ส้ม เสาวรส สตอเบอรี่ มะนาว ฯลฯ ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้นได้ถ้ารับประทานเป็นประจำ ทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นระหว่างวันมากยิ่งขึ้นด้วย

2. นวดเพื่อผ่อนคลายบ่อย ๆ หรือการนวดแผนโบราณเพื่อคลายเส้นและความตึงเครียด มีการศึกษาพบว่าจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยในการกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองที่สำคัญต่อการป้องกันโรคหวัด แต่ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น ความดันสูง โรคหัวใจ หรือต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

3. ดื่มน้ำชาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นชาดำ ชาเขียว ผสมมะนาว น้ำผึ้ง ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้ดีขึ้น จากวิตามินซีและสารโปรตีนที่มีคุณค่าของน้ำผึ้งที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัดได้ นอกจากนี้ ไอระเหยจากน้ำชา ก็ยังช่วยให้รู้สึกโล่งจมูกมากขึ้นได้

4. ล้างมือบ่อย ๆ จะทำให้ลดปริมาณของเชื้อโรคที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเข้าร่างกาย โดยการสัมผัสใบหน้าจมูกปาก หากมีบุตรหลานวัยเด็กเล็กก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง ล้างมือบ่อยยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อไปสู่เด็กซึ่งภูมิต้านทานอ่อนแอกว่าได้

นวดเพื่อผ่อนคลายบ่อยๆ

5. นอนหลับอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง จะช่วยการซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ร่างกายที่ทำงานหนัก ทำให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้

6. สวมถุงเท้าเวลานอน เพื่อช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายคงที่อบอุ่นอยู่เสมอโดยเฉพาะผู้ที่นอนในห้องแอร์ และเด็กเล็กที่ผิวหนังบอบบาง

7. รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและสังกะสี เช่น ไข่ไก่ และอาหารทะเล มีการวิจัยพบว่าจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว จึงลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้

8. ออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ เต้นแอโรบิก เป็นประจำวันละ 30 นาที จะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น

วิธีการป้องกันโรคหวัดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ควรทำในชีวิตประจำวัน ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพดีขึ้นและห่างไกลจากโรคอื่นได้ด้วย